บทวิจารณ์วรรณกรรมเรื่องหลุม(Holes) หลุยส์ ซัคเกอร์ เขียน, แมกไม้ เเปล, แพรวเยาวชน.
“…เมื่อนายต้องใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในหลุม…ทางเดียวที่นายจะไปต่อได้คือปีนกลับขึ้นมา…”
ประโยคนี้เป็นประโยคที่เขียนอยู่บนปกหลักของหนังสือเรื่อง หลุม โดย หลุยส์ ซัคเกอร์ วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้มี หลุม ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง มันน่าสนใจที่ผู้เเต่งเลือกใช้หลุมเป็นสัญลักษณ์ในการถ่ายทอดเรื่องราวการผจญภัยทั้งหมด ที่ทั้งสนุกเเละน่าติดตาม ในขณะเดียวกันก็สอดเเทรกพัฒนาการ การเจริญเติบโตของตัวละครเอกอย่างสเเตนลีย์ เยลเเนตส์เเละเฮกเตอร์ ซีโรนี ซึ่งมีเรื่องราวมากมายให้ได้ขบคิดตลอดทั้งเรื่อง ย้อนกลับไปที่ประโยคข้างต้น ประโยคนี้อาจตีความได้หลายความหมาย เเต่มันน่าสนใจมากที่ผู้เขียนเอ่ยถึงหนทางการหลุดพ้นออกจากหลุมที่มืดมิด เเต่ไม่ได้เอ่ยถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใครสักคนต้องลงไปอยู่ในหลุม ถ้าหากมีสิ่งที่เรียกว่าคำสาปหรือโชคชะตาที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผลักให้ผู้คนพลัดตกลงไปในหลุมโดยที่เขาเลือกไม่ได้ ความสามารถของมนุษย์ธรรมดาจะขัดขืนสิ่งเหล่านั้นเเละปีนกลับขึ้นมาบนปากหลุมได้หรือไม่
‘หลุม’ ตีพิมพ์ครั้งเเรกในปี ค.ศ. 1998 เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งชื่อสเเตนลีย์ เยลแนตส์ เขาเป็นคนที่มักจะอยู่ผิดที่ผิดเวลาเสมอ เเละทุกครั้งที่มีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นเขาก็มักจะกล่าวว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเทียดนักขโมยหมู บรรพบุรุษผู้ซึ่งนำคำสาปและโชคร้ายมาสู่ครอบครัวตลอดหลายช่วงอายุคน ด้วยโชคร้ายเเละความอยู่ผิดที่ผิดทางของสเเตนลีย์ทำให้เขาตกเป็นผู้กระทำความผิดข้อหาขโมยรองเท้าที่ตกลงมาจากฟ้า สเเตนลีย์เลือกไปที่ค่ายกรีนเลก ซึ่งเป็นค่ายสำหรับปรับปรุงพฤติกรรมเด็กไม่ดีเเทนที่จะไปเข้าคุก ณ ที่แห่งนั้นมีกฎอยู่ว่าต้องขุดหลุมขนาดกว้างห้าฟุตและลึกห้าฟุตจำนวนหนึ่งหลุมต่อวัน ที่ค่ายกรีนเลกแห่งนี้ สแตนลีย์ได้พบกับผู้คนมากมายเเละได้รู้จักกับเพื่อนผิวสีคนหนึ่งผู้มีฉายาว่า ซีโร ทั้งสองเติบโตขึ้นเเละได้เรียนรู้บทเรียนมากมายในค่ายเเห่งนี้ อีกทั้งด้วยลักษณะพิเศษที่มักจะดึงให้สเเตนลีย์อยู่ผิดที่ผิดทางเสมอก็ส่งผลให้เขาได้ค้นพบความจริงที่ว่าเเท้จริงเเล้วพวกเขาขุดหลุมไปเพื่ออะไร
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า หลุม คือสิ่งที่ปรากฏตลอดทั้งเรื่องเเละมีความหมายมากสำหรับวรรณกรรมเรื่องนี้ ซึ่งเป็นตั้งเเต่ชื่อเรื่องไปจนถึงเป็นบทลงโทษ ทดสอบของเด็ก ๆ เเละเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ต้องรับผิดชอบ เป็นเเม้กระทั่งที่ซุกซ่อนคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงต้องมาขุดหลุมอยู่ที่กรีนเลก ในทางกายภาพ หลุมคือพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปในพื้นดิน อยู่ในระดับที่ต่ำจากระดับพื้นดินปกติ ในทางสัญลักษณ์ดิฉันมองว่าหลุมเป็นทั้งคำสาปและโชคชะตา ซึ่งเเน่นอนว่าหลุมนี้เองที่เป็นปัจจัยหลักที่หล่อหลอมให้ทั้งสเเตนลีย์เเละซีโร(ฉายา)เติบโตขึ้น
ว่าด้วยเรื่องคำสาปของเทียดนักขโมยหมู ที่มาของคำสาปเกิดจากการที่เทียดของสเเตนลีย์ผิดสัญญากับหญิงชรานาม มาดามซีโรนี ในสมัยที่เทียดของเขายังหนุ่ม เขาตกหลุ่มรักหญิงสาวในหมู่บ้าน มาดามซีโรนีเสนอให้เขาอุ้มหมูขึ้นไปดื่มน้ำบนภูเขา ในระหว่างทางก็ร้องเพลงให้หมูฟังไปด้วย เมื่อหมูเติบโตเต็มวัยก็ให้นำไปมอบให้พ่อของว่าที่เจ้าสาว โดยเเลกกับการที่จะต้องอุ้มมาดามซีโรนีขึ้นไปดื่มน้ำบนเขาพร้อมกับร้องเพลงให้ฟังเช่นกัน มิเช่นนั้นครอบครัวจะต้องพบเเต่ความพินาศ เเต่ด้วยความผิดหวังในความรักทำให้เทียดของสแตนลีย์ไม่สามารถทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ทำให้คำสาปเเช่งที่มาดามซีโรนีกล่าวนั้นสนองคืนเเก่ครอบครัวของเขา สืบทอดจนมาถึงรุ่นของสเเตนลีย์ เเยลเน็ตส์ซึ่งเป็นเด็กชายคนที่ 4 ของตระกูลที่ได้รับชื่อนี้
ตัวละครสเเตนลีย์เป็นตัวละครเด็กชายร่างอวบอ้วนที่เป็นเด็กดี เเละมองโลกในเเง่ดีเสมอ เรียกว่าเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีก็ว่าได้ เห็นได้จากการที่เขาเขียนจดหมายถึงคุณแม่ตอนอยู่ในค่ายเเละเลือกที่จะโกหกเพื่อให้ครอบครัวสบายใจเพราะคิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นเเม่เสมอ เเม้ว่าตัวเขาจะเผชิญกับโชคร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน เเต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องไม่ดีเขาก็จะคิดว่าเป็นความผิดของเทียดนักขโมยหมู อาจมองได้ว่าความผิดของเทียดนักขโมยหมูเป็นสิ่งที่ทำให้สแตนลีย์เป็นคนที่ยอมจำนนต่อโชคชะตา เเต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนที่ตัดพ้อให้กับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ ดิฉันมองว่าการที่ครอบครัวของสแตนลีย์เชื่อว่ามีคำสาปของเทียดนักขโมยหมูอยู่นั้นเป็นข้อดี มันคือสิ่งที่หล่อหลอมเด็กชายให้ไม่ย่อท้อหรือเสียเวลาให้ค่ากับโชคร้ายที่คอยขัดขวางชีวิต ในกรณีอื่นการกล่าวโทษผู้อื่นอาจเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เเต่กรณีของครอบครัวเเยลเน็ตส์ดิฉันมองว่าการกล่าวโทษว่าโชคร้ายเป็นความผิดของเทียดนักขโมยหมูเปรียบเสมือนเป็นคำปลอบใจที่ใช้กันมารุ่นสู่รุ่น ทำให้คนในครอบครัวนี้มองว่าปัญหาทั้งหมดนั้นเกิดจากคำสาปที่ไม่สามารถควบคุมได้เเล้วจะต้องให้โชคร้ายนั้นมาบั่นทอนชีวิตทำไม เป็นความรู้สึกที่เรียกว่าจำนนเเต่ไม่ตัดพ้อ อย่างน้อยพวกเขาก็มีสิ่งให้กล่าวโทษ จากนั้นก็ปล่อยวางปัญหาเเล้วก็พยายามสู้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างเช่น ตอนที่ปู่ของสเเตนลีย์โดนโจรนักขโมยจูบปล้น ทุกคนโทษว่าเป็นความผิดของคำสาปแล้วก็ไม่โวยวาย และพยายามที่จะเอาชีวิตรอดจากทะเลทรายให้ได้ จากในเรื่องการที่คุณปู่โดนปล้นสามารถเทียบได้กับการล้มละลายซึ่งบางคนอาจไม่สามารถทำใจยอมรับในสิ่งนี้เเละก้าวผ่านมันไปไม่ได้ เเต่ครอบครัวนี้รู้ดีว่ามีคำสาปให้กล่าวโทษ ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ก็ไม่พยายามที่จะดึงรั้งความทุกข์ความเศร้าเอาไว้ เหมือนมีปุ่มรีสตาร์ทเอาไว้กดเพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งแม้จะมองว่าคำสาปเป็นข้อดีเเต่ในขณะเดียวกันดิฉันก็มองว่าคำสาปนี้เองที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สเเตนลีย์ต้องตกลงไปในหลุมที่คนอื่นขุดเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำสาปของตระกูล คือสิ่งที่ผลักสแตนลีย์ลงมาในหลุมซึ่งเป็นหลุมที่คนอื่นขุดไว้ เปรียบได้กับสิ่งที่คนอื่นเคยทำเเล้วมันส่งผลกระทบต่อเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่น การที่เขาต้องมาที่ค่ายกรีนเลกทั้งๆ ที่บริสุทธิ์ หรือต้องขุดหลุมเพื่อตอบสนองความโลภของผู้คุมที่ใช้ช่องว่างของกฎหมายในการหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยการทำค่ายปรับปรุงพฤติกรรมเยาวชนมาเป็นฉากบังหน้า เป็นต้น จากเรื่องสาเหตุของปัญหาทั้งหมดล้วนโยงใยมาจากคำสาปของเทียดนักขโมยหมู ตั้งเเต่เเรกดิฉันชวนผู้อ่านตอบคำถามว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถขัดขืนคำสาปที่ครอบงำชีวิตได้หรือไม่ ดิฉันเชื่อว่าคำสาปเเช่งในเรื่องเป็นสิ่งที่สเเตนลีย์ไม่อาจขัดขืนได้ เเต่ถึงกระนั้น ดิฉันกลับไม่คิดว่าเมื่อตัวละครเอกไม่สามารถขัดขืนต่อโชคชะตาเหล่านั้นได้ มันจะทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้สิ้นหวัง ตรงกันข้าม ดิฉันมองว่าด้วยลูกหลงคำสาปที่สเเตนลีย์ประสบนี้เองที่จุดประกายความหวังให้กับวรรณกรรมเรื่องนี้ เเละคำตอบของคำถามที่ว่าเด็กชายจะสามารถปีนขึ้นมาจากหลุมที่เขาพลัดตกลงไปได้หรือไม่นั้น จากที่กล่าวไปข้างต้น ดิฉันมองว่าสเเตนลีย์มีคุณลักษณะของคนที่ยอมจำนนเเต่ไม่ยอมเเพ้เเละไม่ตัดพ้อ เเละเขาก็ทำได้ดีในสถานการณ์ที่ว่า ในเมื่อเขาตกลงมาในหลุมเเล้ว เขาก็ต้องดิ้นรนที่จะปีนขึ้นมาให้ได้ ซึ่งในระหว่างทางของการปีนขึ้นจากหลุมของเขานั้นเองที่เป็นบทเรียนทำให้เด็กชายสเเตนลีย์เติบโตขึ้น เเละเปลี่ยนเเปลงไปมากมายทั้งในด้านร่างกายเเละจิตใจ
เดิมก่อนที่สเเตนลีย์จะมาที่ค่ายกรีนเลก เด็กชายสเเตนลีย์เป็นเด็กที่มีร่างกายอวบอ้วน สูงใหญ่เเต่ไร้เรี่ยวเเรง อีกทั้งยังมีนิสัยยอมคน ไม่กล้าตอบโต้ผู้อื่นด้วยลักษณะเเข็งกร้าว ด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้เขามักจะโดนเเกล้งที่โรงเรียนเสมอ ตอนมาที่ค่ายเเรก ๆ เขามักจะขุดหลุมได้ช้ากว่าคนอื่น ด้วยการขุดหลุมทุกวันเเละอาหารที่้น้อยนิดทำให้เด็กชายน้ำหนักลดลงเเต่ก็เต็มไปด้วยพละกำลัง เเละค่ายกรีนเลกก็เปรียบเสมือนเเบบจำลองของสังคมที่มีสังคมหน่วยเล็ก ๆ ย่อยลงไปอีกทีหนึ่ง ด้วยลักษณะสังคมของค่าย มันบีบให้เด็กชายต้องเรียนรู้ที่จะต้องทำเพื่อความรอดภายในค่ายนี้ให้ได้ เช่น เรื่องการปฏิบัติตัวตามลำดับชนชั้นอาวุโสภายในกลุ่ม อย่างการต่อเเถวรับน้ำที่ต้องมีผู้ที่ได้รับการเเจกน้ำเป็นลำดับเเรกเสมอ, การคล้อยตามวัฒนธรรมกลุ่ม เช่น การถ่มน้ำลายลงในหลุม, การปฏิบัติตามลำดับชนชั้นภายในค่ายเเละต้องเอาใจผู้มีอำนาจ เช่น การเอาของที่ค้นพบไปมอบให้ผู้มีอำนาจในกลุ่มเด็กย่อย ๆ เเล้วก็ส่งต่อไปจนถึงผู้มีอำนาจสูงสุดนั่นคือผู้คุม เป็นต้น
ในค่ายนี้สแตนลีย์ติดอยู่ในหลุมที่ทำได้เพียงเดินวนไปมา เขาไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลัง เขาทำได้เพียงคล้อยตามสังคมและค่อย ๆ สูญเสียความเป็นตัวเองไปในที่สุด ดังตอนที่ซีโรเข้ามาขอให้เขาสอนหนังสือ เเต่สเเตนลีย์ปฏิเสธ
“…กล้ามเนื้อและแขนขาของเขาไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ หัวใจของสแตนลีย์ก็แข็งกระด้างขึ้นเช่นกัน…”
(หลุยส์ ซัคเกอร์. 2562: หน้า 95)
จะเห็นว่าสังคมในค่ายเปลี่ยนเด็กชายที่เคยมีจิตใจที่ดี คิดถึงความรู้สึกคนอื่นให้กลายเป็นคนที่จิตใจแข็งกระด้าง เเต่จะโทษไม่ได้เพราะสแตนลีย์ต้องออมเเรงเอาไว้สำหรับการขุดหลุม ในอีกแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าเขาต้องเก็บออมพลังงานเอาไว้เพื่อที่จะดิ้นรนในค่ายต่อ การที่สแตนลีย์ต้องร้ายก็เพื่อป้องกันตัวเองจากเด็กคนอื่นเเละต้องไม่เผยความอ่อนเเอของตนให้ใครเห็น เช่น ตอนที่เขียนจดหมายถึงแม่สแตนลีย์ต้องแอบเขียนเพื่อว่าจะได้ไม่โดนเด็กคนอื่นล้อ เป็นต้น
ในด้านร่างกายการเปลี่ยนเเปลงของสเเตนลีย์เปรียบเหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นสูง เเต่ในด้านจิตใจกลับมาเเนวโน้มที่จะลาดต่ำลง จนถึงเเม้กระทั้งตอนที่เขายอมสอนหนังสือซีโร ในตอนนั้นเขายอมสอนซีโรอ่านหนังสือเพราะซีโรเสนอที่จะขุดหลุมแทนเขาเป็นข้อแลกเปลี่ยน จุดหักเหของกราฟคือตอนที่เขาตัดสินใจขโมยรถแล้วออกไปตามหาซีโรที่หนีไปเพราะคำดูถูก เรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจปีนขึ้นจากหลุมในจิตใจของเขามากที่สุด
เหตุการณ์ที่ซีโรหนีไปนั้นเกิดจากตอนที่ซีโรขุดหลุมแทนสเเตลีย์แล้วสร้างความไม่พอใจให้กับเด็กคนอื่นในกลุ่ม ก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทจนซีโรเกือบฆ่าเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่ง ในที่สุดสแตนลีย์ก็สารภาพกับทุกคนว่าเขาสอนหนังสือให้ซีโร เมื่อทุกคนรวมถึงผู้คุมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ทุกคนกล่าวว่าเรียนหนังสือไม่เหมาะกับคนโง่อย่างซีโร แต่สแตนลีย์มองต่าง ตลอดระยะเวลาที่เขาสอนซีโรอ่านหนังสือ เขาได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วซีโรไม่ได้โง่ เเละการขุดหลุมในค่ายไม่ได้ช่วยปรับปรุงพฤติกรรมของใครเลย มันเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เเอบแฝงของผู้คุมต่างหาก แต่ด้วยคำดูถูกและคำสั่งให้ซีโรกลับไปขุดหลุมทำให้ซีโรต่อต้านเเละในที่สุดก็วิ่งออกจากค่ายไป
หลังจากซีโรออกไปสเเตนลีย์ก็ได้ค้นพบว่าเขาไม่ควรให้ซีโรขุดหลุมเเทนตั้งเเต่เเรกและเลือกที่จะออกไปตามหาซีโร การที่สเเตนลีย์ตัดสินใจออกไปตามหาซีโร ก็เหมือนการที่เขาเริ่มต้นปีนขึ้นจากก้นหลุมของชีวิต เขาต้องต่อสู้กับความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจที่จะละทิ้งสิ่งเดิมเเละเริ่มที่จะเปลี่ยนเเปลง การหนีออกจากค่ายกลางทะเลทรายเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะมันคือการตัดสินความเป็นความตายของชีวิต เเต่สแตนลีย์เลือกทำสิ่งถูกคือการออกไปตามเพื่อน เป็นการก้าวข้ามที่ทำได้ยากแต่สเเตนลีย์ก็ทำได้ จิตใจที่เเน่วแน่ทำเพื่อความถูกต้องคือสิ่งสำคัญที่ใช้ในการปีนขึ้นมาจากหลุมภายในจิตใจของเขา และการปีนออกจากหลุมก็สอดคล้องกันพอดีกับการคลายคำสาป อีกทั้งสแตนลีย์ยังเติบโตขึ้นมาก เเต่สแตนลีย์จะปีนขึ้นจากหลุมไม่สำเร็จหากไม่มีซีโรสนับสนุน อาจกล่าวได้ว่าถ้าหากสแตนลีย์เป็นเด็กที่บังเอิญเดินตกลงมาในหลุม ในกรณีของซีโรนั้นต่างออกไป ซีโรไม่ได้เดินตกลงมาในหลุมที่คนอื่นขุดเอาไว้ เขาเกิดอยู่ในหลุมและกำลังใช้ทั้งชีวิตของเขาในหลุมนี้ต่างหาก
เฮกเตอร์ ซีโรนี หรือ ซีโร เด็กชายผิวสีร่างเล็ก เขาคล่องเเคล่วเเละมีพละกำลังสูงอีกทั้งยังขุดหลุมเก่งที่สุด ด้วยความไม่ชอบพูดคุยกับใครทำให้ผู้คนมองว่าเขาไม่มีสมอง และมองเขาเป็นเพียงผู้ที่ชื่นชอบการใช้แรงงานเท่านั้น ภูมิหลังของซีโรนั้นเเสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในหลุมมาตั้งเเต่เเรกหรือเรียกอีกอย่างว่ามีต้นทุนชีวิตที่ติดลบต่างจากเด็กคนอื่นนั่นเอง เขาเป็นคนผิวสี เคยเป็นคนไร้บ้าน ภายหลังกลายมาเป็นเด็กที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐ ซึ่งเเน่ใจได้เลยว่าเขาไม่ได้รับดูแลเเละการปฏิบัติที่ดีเท่าไรนัก และนอกจากเขาจะอาศัยอยู่ในหลุมเเล้วเด็กชายยังมีท่าทีว่าจะขุดหลุมลึกลงไปเรื่อย ๆ อีกด้วย จนในที่สุดโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับสเเตนลีย์ ซีโรก็อยากที่จะเลิกขุด วางพลั่วลง เเล้วหันมาจับปากกาแทน
การที่สเเตนลีย์ตกลงมาในหลุมเดียวกับซีโร ทำให้ซีโรรู้ว่าหลุมที่เขาอาศัยอยู่มันอยู่ลึกมาก สแตนลีย์เเสดงให้เขาเห็นว่าข้างบนนั้นมีเรื่องราวดี ๆ มากมาย เช่น การอ่านออกเขียนได้จะทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวมากมาย ทั้งนิทานที่สนุกสนานและการได้เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาสื่อสารกับคนอื่น เป็นต้น ดังนั้นซีโรจึงอยากที่จะปีนขึ้นไปยืนในระดับเดียวกับคนอื่น เเต่การปีนขึ้นสูงของซีโรนั้นมีอุปสรรคภายนอกที่คอยขัดขวางเขาอยู่ นั่นคือผู้คนรอบข้างที่ตัดสินเขาไปแล้วทั้ง ๆ ที่ซีโรมีศักยภาพไม่ต่างจากคนอื่นเพียงเเต่เขาไม่พูด เขามีสิทธิ์ที่จะเดินบนพื้นระดับเดียวกันกับคนอื่นไม่ใช่ในหลุมที่ไม่มีคนเหลียวเเล ตรงกันข้าม ยิ่งซีโรพยายามปีนขึ้นไปข้างบนมากเท่าไร คนอื่นกลับดูถูกและดึงเขาลงมาในหลุม เเล้วยังยัดพลั่วใส่มือเขาอีกครั้ง เเต่ซีโรเองก็ไม่ยอมให้ผู้คนเหล่านั้นมาบงการชีวิตของตนต่อไป ในที่สุดซีโรก็ตัดสินใจที่จะไม่ขุดหลุมอีกแล้ว
การตัดสินใจหนีออกจากค่ายของซีโร แสดงให้เห็นว่าเขามีจิตใจที่เเน่วเเน่เพียงใด เพราะการวิ่งตัวเปล่าออกจากค่ายกลางทะเลทรายไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เเต่ซีโรก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่าเขาจริงจังมากกับการปีนขึ้นจากหลุมชีวิตของเขา เขาเดิมพันชีวิตจนสื่อได้ว่าต่อให้ต้องตาย เขาก็จะไม่ยอมอยู่ในหลุมอีกต่อไป การตัดสินใจครั้งนี้ของซีโรเเสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนเเปลงที่ตรงกันข้ามกับฉายาของเขา เดิม ซีโร คือศูนย์ เขาเคยเป็นความว่างเปล่า เเต่เเท้จริงแล้วซีโรไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่ทุกคนคิด
นับเป็นโชคชะตาที่ซีโรเเละสเเตนลีย์ได้พบกันในหลุม จากเรื่องจะเห็นว่าทั้งสองคนต่างก็มีหลุมให้ปีนขึ้นมาไม่ต่างกัน ทั้งสองเลือกเกื้อกูลกันให้เเต่ละคนก้าวข้ามภารกิจนี้ไปให้ได้ และด้วยกลวิธีการวางโครงเรื่องของผู้เเต่งที่วางโครงเรื่องซ้อนโครงเรื่องโดยการผูกโครงเรื่องปัจจุบัน เเละโครงเรื่องในอดีตเกี่ยวกับกับสาปของเทียดนักขโมยหมูเข้าด้วยกัน ทำให้ในตอนจบจะเห็นว่าเเท้จริงเเล้วเฮกเตอร์ ซีโรนีเป็นลูกหลานของมาดามซีโรนีที่สาปแช่งตระกูลของสแตนลีย์ การที่ทั้งสองตระกูลได้มาพบกันอีกครั้งทำให้ต่างคนต่างก็เติมเต็มซึ่งกันเเละกัน อันนำไปสู่การเเก้คำสาปได้ในที่สุด
ในอดีตเงื่อนไขของคำสาปที่มาดามซีโรนีเอ่ยไว้คือการที่ต้องอุ้มหญิงชราขึ้นไปดื่มน้ำบนภูเขา ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบันระหว่างสแตนลีย์และซีโร เป็นความจริงที่สแตนลีย์แบกซีโรขึ้นไปดื่มน้ำบนภูเขา ทั้งยังร้องเพลงให้เขาฟังอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเงื่อนไขของการเเก้คำสาปทำให้คำสาปคลายลง ในอีกเเง่อาจมองได้ว่าการเเก้คำสาป ทำได้โดยการที่ต้องทำให้ใครอีกคนขึ้นสู่ที่สูงไปพร้อม ๆ กันกับตน คือการพัฒนาตนไปพร้อมกับการพัฒนาคนอื่นนั่นเอง หมายความว่าการที่สแตนลีย์ช่วยซีโรให้ปีนขึ้นมาจากหลุมด้วยการสอนหนังสือ พยายามทำให้ซีโรอ่านหนังสือออกจนในที่สุดทั้งสองก็ขึ้นมาอยู่บนปากหลุมได้เป็นการแก้คำสาปด้วยตัวของมันเองอยู่เเล้ว บางทีคำสาปอาจจะคลายตั้งเเต่ต้นแล้วก็เป็นได้
ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าตัวละครสแตนลีย์และตัวละครเฮกเตอร์เป็นตัวละครที่ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันเเละกัน หลังจากออกจากค่ายจะเห็นว่าทั้งสองมีการเปลี่ยนเเปลงไปมาก ทั้งความกล้าที่เกิดขึ้นในใจของสเเตนลีย์เเละความสดใสร่าเริงของซีโร เรียกได้ว่าเมื่อทั้งสองปีนขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว พวกเขาต้องเเน่ใจว่าจะไม่กลับลงไปในหลุมอีก วิธีการคือต้องกลบหลุมเหล่านั้น ซึ่งสแตนลีย์และซีโรต่างก็ช่วยกันกลบหลุมของกันและกันได้สำเร็จแล้ว
รายการเอกสารอ้างอิง ซัคเกอร์, หลุยส์. (2562). หลุม. แปลโดย แมกไม้. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: แพรวเยาวชน.
Comentarios