top of page

The Very Simple Rubber Band หนังยาง

Updated: Sep 14, 2022


The Very Simple Rubber Band

หนังยาง

-ดันพาวน-


กาลครั้งนั้นที่ไม่อาจทราบว่ากาลครั้งใด ณ ดินแดนแสนมหัศจรรย์ทางภาคกลางของภูมิประเทศ วันนั้นเป็นหนึ่งในวันมหัศจรรย์จากสามร้อยหกสิบห้าวันที่สุดแสนมหัศจรรย์ วันที่สุดแสนแจ่มใสนั้นมีเหตุการณ์บางอย่างอุบัติขึ้น มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อย่างวันสถาปนารูปปั้นของนายกเทศมตรีในย่านเสื่อมโทรมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้คนหาเช้ากินค่ำ แต่ก็ไม่ได้ซบเซาอย่างวันจ่ายภาษีที่เหล่าผู้มีอันจะกินเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์ตากอากาศ ณ ริมทะเลตะวันออก


“อ๊ะ หนังยางนี่นา”


เด็กหญิงผมสั้นหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะพบหนังยางเส้นหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ พยานผู้พบเห็นก็มีเพียงเศษกระดาษยับยู่ยี่ที่รอการรีไซเคิลในถังขยะเปียกเท่านั้น เด็กหญิงก้มเก็บหนังยางแล้วก็ออกตัวเดินต่อไปข้างหน้าตามเดิม

เด็กหญิงคนนี้คือนักเดินเท้าผู้ไม่เคยหันหลังกลับ เธอไม่เคยออกตัววิ่ง ได้แต่ก้าวอย่างมั่นคงไปข้างหน้าทีละก้าวและหยุดพักบ้างเมื่อเธอเหนื่อยล้า ถามว่าเป้าหมายของเธอคืออะไรน่ะหรือ คำตอบนั้นแสนง่าย เธอตั้งมั่นเพียงแค่การก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเท่านั้น เด็กหญิงไม่เคยคาดหวังให้ตัวเองก้าวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ในสภาหรือก้าวขึ้นไปบนแท่นมอบรางวัลนักกีฬา เพราะเธอเชื่ออยู่เสมอว่าคุณสมบัติหลักของนักเดินเท้าก็คือเท้าต้องติดพื้นอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีจุดมุ่งหมายอื่น จนวันมหัศจรรย์นี้ที่เธอได้เก็บหนังยางขึ้นมา เธอพาหนังยางเดินทางไปด้วยและตั้งใจเอาไว้ว่าจะมอบหนังยางให้กับผู้ที่ต้องการหนังยางมากที่สุด

วันหนึ่งเด็กหญิงเดินเท้าไปถึงเมืองสองขั้วที่ผู้คนแบ่งแยกเมืองออกเป็นสองฝั่งโดยมีแม่น้ำเป็นแนวกั้น เธอเดินเท้าไปถึงสะพานข้ามคลองที่แบ่งเมืองออกจากกัน ข้อแตกต่างระหว่างสองฝั่งคือความรุ่งเรืองที่ต่างชั้นกันอย่างเหลือเชื่อ ณ ดินแดนฝั่งนี้ผู้คนหิวกระหายตลอดเวลา คนส่วนใหญ่ในเมืองต่างถูกเกลี้ยกล่อมให้คุ้นชินกับความหิว แต่ก็มีผู้ใหญ่บางคนที่กระหายขนาดจำต้องกินอิฐหินปูนทรายเพื่อประทังชีวิต ส่วนอีกฝั่งบ้านเมืองกลับอุดมไปด้วยวิทยาการและความก้าวหน้า ใบหน้าผู้คนเปื้อนยิ้มตลอดเวลาจนเด็กสาวได้แต่สงสัยว่าผู้คน ณ เมืองฝั่งนั้นเคยรู้จักกับความเศร้าหรือไม่

ก่อนข้ามสะพานเด็กหญิงเหลือบไปเห็นนายพลผู้ประจำการอยู่ ณ ชายแดนแห่งนี้ เขาและนายทหารชั้นผู้น้อยต่างเหนื่อยล้าราวกับอดหลับอดนอนติดต่อกันหลายคืน พวกเขาใช้กระสอบทรายที่วางเรียงกันเป็นฐานกำบัง ย่อตัวนั่งจนส่วนสูงโผล่ออกมาแค่บริเวณดวงตาขึ้นไป สายตาของพวกเขากำลังจดจ้องไปที่กำแพงเมืองเตี้ย ๆ ของเมืองฝั่งตรงข้ามอย่างระแวดระวัง แต่ผิดกันที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเป็นภัยหรือเตรียมรับการปะทะทางกำลังทหารแต่อย่างใด เด็ก ๆ ฝั่งนั้นกำลังล้อมวงกันเข้ามาฟังนิทาน พร้อมกับชมบรรยากาศสวนสาธารณะริมคลองไปพร้อม ๆ กัน

“พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่หรือจ๊ะ” เด็กหญิงเอ่ยถามทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ใกล้เธอที่สุด

“ผมกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ไม่สามารถตอบคำถามได้ครับ!” ทหารหนุ่มผู้นั้นตอบเสียงดังฟังชัดสมชายชาติทหาร เด็กหญิงไม่เซ้าซี้จึงเอ่ยถามทหารคนข้าง ๆ แต่เขาก็ตอบคำถามด้วยคำตอบเดียวกันราวกับท่องจำต่อ ๆ กันมา เด็กหญิงเดินไปถามทหารคนถัดมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเธอเดินไปถึงตัวผู้บัญชาการกองรบ

“พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่หรือจ๊ะ” เด็กหญิงถามคำถามเดิม

“กลับไปเสีย ที่นี่คือสนามรบ ไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นของพลเรือน” นายพลตอบเสียงแข็ง แต่เด็กหญิงไม่เห็นด้วย เธอไม่เห็นว่าชายแดนแห่งนี้จะเป็นสถานที่เหมาะแก่การก่อสงครามแต่อย่างใด อีกอย่าง ทหารทุกนายที่นี่ล้วนไม่มีอาวุธที่สามารถใช้สังหารใครได้ บางคนใช้หม้อต่างโล่ ใช้ช้อนต่างดาบ ดูแล้วไม่มีพิษภัย ดูแล้วนอกจากดาวที่ติดบ่าของนายพลก็ไม่มีอะไรที่มีอำนาจมากพอในการสังหารความสงบได้

“อีกไม่นาน สงครามก็จะยุติแล้ว แล้วทุกคนก็จะได้กลับบ้าน กลับไปหาลูกเมีย ไม่ต้องอดอยากหิวโหยอีกต่อไป!!”

นี่สินะ วลีเด็ดของนายพลทั้งหลาย เธอคิดขณะหวนนึกถึงทุกสนามรบที่เธอเคยเดินผ่าน คำพูดแสนดาษดื่นและขายฝันเหล่านั้นเรียกเสียงเฮจากบรรดาทหารหาญได้ผลเสมอ เด็กหญิงตัดสินใจจะเดินจากไปถ้าหากในวินาทีต่อมานายพลไม่ทำหน้าเศร้าพลางพึมพำอย่างเสียดายว่า

“ขอเพียงแค่เรามีหนังยางสักเส้น เราก็จะพร้อมทำสงครามแล้ว ปัดโถ่!!”

“หนังยางหรือ ท่านจะเอาหนังยางไปทำอะไรหรือจ๊ะ” เด็กหญิงหันมาเอ่ยถามอีกครั้ง

“ก็เอาไปทำอาวุธน่ะซิ ถามมาได้ ...มีพ่อค้าอาวุธคนหนึ่งยอมขายอาวุธให้กองทัพด้วยราคาดี แค่ภาษีของประชาชนครึ่งประเทศเท่านั้น ทหารคนไหนจะโง่ไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะจริงไหม ถ้ามันนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ของกองทัพ ประชาชนย่อมเข้าใจ เพราะพวกเขารู้ดีว่าเราต่างก็ทำเพื่อพวกเขา เพียงแต่สินค้านั้นมีตำหนิอยู่อย่างเดียว เขาบอกว่าอาวุธชิ้นนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้หนังยางมารัดให้ลำกล้องไม่ให้สั่น มิเช่นนั้นอาจพลาดท่ายิ่งพลเรือนเข้า กองกำลังของพวกเราไม่สามารถละหน้าที่จากชายแดนตรงนี้ไปได้ กองทัพจึงหาหนังยางไม่ได้สักที”

เด็กหญิงฟังนายพลกล่าวอยู่เงียบ ๆ เธอนึกภาพไม่ออกหรอกว่าหนังยางหนึ่งเส้นจะเอาไปทำอะไรกับอาวุธชิ้นนั้นได้ หรืออาจเพราะหลาย ๆ เมืองขาดหนังยางชิ้นนี้ไปจึงมีข่าวพลเรือนถูกลูกหลงจากกระสุนอยู่ไม่น้อย บ้าแล้ว ทหารที่ไหนจะลั่นไกลโดยไม่จำเป็น เด็กหญิงสลัดหัวไล่ความคิดไร้สาระของตนออกไปพลางมองนายพลที่เอาแต่พร่ำถึงหนังยางที่ต้องหามาให้ได้เป็นอันดับแรก

นายพลเอาแต่พูดถึงสงครามที่ต้องก่อเพราะคนในเมืองจะอดตายกันอยู่รอมร่อ ต้องช่วงชิงทรัพยากรจากฝ่ายตรงข้ามมาให้ได้มากที่สุด ประชาชนฝั่งนี้จึงจะอยู่ดีกินดีและมีความสุข เด็กหญิงฟังเขาตัดพ้อเงียบ ๆ เมื่อเขาเหนื่อยที่จะเอ่ยแล้วเธอก็พยักหน้าแล้วก็ตัดสินใจเดินทางต่อ แม้จะมีหนังยางที่พวกเขาตามหา แต่จากที่นายพลกล่าวมา พวกเขาไม่ได้ต้องการหนังยางในมือของเธอหรอก เปล่าประโยชน์ที่จะเสนอสิ่งของที่คนไม่ต้องการ

นายพลโบกมือลาเด็กหญิง พวกเขาไม่มีสิทธิ์รั้งหรือห้ามไม่ให้ใครข้ามแดนได้ หน้าที่เดียวของทหารอย่างพวกเขาคือกองกำลังรักษาประเทศ แม้พวกเขาจะมีอำนาจทางการทหารแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำเกินหน้าที่ อย่าว่าแต่เรื่องห้ามคนออกประเทศเลย ขึ้นบริหารประเทศพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์แม้จะใช้กำลังบังคับเอามาได้ก็ตาม

เด็กหญิงเดินทางต่อโดยไม่หันหลังกลับ เธอข้ามสะพานไปยังเมืองที่ศิวิไลซ์ที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ บ้านเมืองสะอาดสวยงาม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยทักทายกันตลอดทาง เธอก้าวตรงไปเรื่อย ๆ จนได้พบกับเศรษฐีนีคนหนึ่ง เธอแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นดี ตกแต่งใบหน้าพองาม ใบหน้าของเธออิ่มและมีแก้มเปล่งปลั่งดั่งหญิงสาวผู้ไม่เคยตรำงานหนัก เศรษฐีนีนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าร้านขายเครื่องประทินโฉมสตรี ในมือของผู้ติดตามทั้งหลายเต็มไปด้วยเครื่องสำอางและเสื้อผ้าสีสวยและกำลังพยายามสร้างความพอใจให้หญิงสาวนางนั้นอย่างถึงที่สุด มองภายนอกเธออาจเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามที่บังเอิญผ่านมาจับจ่ายใช้สอยแต่ถ้าหากมีผู้ใดจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของเธอแล้วล่ะก็ ทุกคนก็จะพบว่าเธอกำลังจมอยู่ในห้วงมหรรณพแห่งความโศกที่เธอได้ดำดิ่งแวก ว่ายอยู่ในนั้นจนยากจะมีเรี่ยวแรงในการพาตัวขึ้นพ้นเหนือน่านทะเลสาบน้ำตา

“นัยน์ตาท่านช่างเศร้าเหลือเกิน มีอะไรที่หนูช่วยได้บ้างไหมจ๊ะ” นักเดินเท้าตัวน้อยอดใจหยุดตรงหน้าเศรษฐีนีไม่ได้

“เธอถามฉันหรือเด็กน้อย หนูไม่อาจช่วยได้หรอกจ้ะ นอกจากเจ้าจะมีหนังยางสักเส้น ฉันจ้างวานให้คนออกตามหามากมายหลายคนแต่ก็ไม่มีใครนำหนังยางมาได้ ฉันได้ยินว่ากองทัพเมืองข้าง ๆ ก็ต้องการหนังยางเช่นกัน ไม่แปลกนักที่มันจะขาดแคลน” เศรษฐีนีเอ่ยอย่างจำนน ผู้ติดตามของเธอทั้งหลายได้แต่พยักอย่างประจบประแจง หวังให้เศรษฐีนีพอใจ

“ท่านจะเอาหนังยางไปทำไมหรือจ๊ะ” นักเดินทางตัวน้อยเอ่นถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เธอไม่รู้ว่าหญิงสาวที่งามพร้อมไปด้วยรูปโฉมและทรัพย์สิน จะต้องการอะไรจากหนังยางเพียงหนึ่งเส้น เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าเธอสวมกระโปรงที่มีลายปักสัญลักษณ์ประจำตระกูล เท่าที่เธอเดินผ่านมา ทรัพย์สินกว่า 9 ใน 10 ส่วนของเมืองนี้ล้วนแล้วแต่มีสัญลักษณ์นี้โชว์เด่นหลาอยู่เต็มไปหมด เด็กหญิงรับรู้ได้ทันทีว่าวิทยาการแทบทั้งเมืองนี้เป็นของหญิงสาวแสนเศร้านางนี้

“เธอเห็นบุรุษคนนั้นหรือไม่เด็กน้อย” เศรษฐีนีชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในร้านขายเครื่องสำอางเลื่องชื่อของเมือง เขามีรอยยิ้มทรงเสน่ห์และท่าทางเป็นคนช่างปราศรัยทำให้ร้านของเขามีหญิงสาวแวะเวียนมาอุดหนุนอยู่ไม่ขาด และใช่ ร้านนี้เป็นเพียงไม่กี่ร้านที่ไม่มีสัญลักษณ์ในเครือการค้าของเศรษฐีนี

“ฉันหลงรักสุภาพบุรุษคนนั้นสุดหัวใจ เขาเป็นชายที่ฉันคาดหวังให้เรารักกันจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่ว่าใบหน้าของฉันไม่เคยดึงดูดความสนใจของเขาได้เลย เงินทองของฉันก็ไม่เคยทำให้เขาทำดีกับฉันมากกว่าลูกค้าคนอื่น หัวใจของฉันพองโตทุกครั้งที่พบเจอเขา แต่ตรองดูเถิด หัวใจของเขาดูจะไม่เคยเต้นเพื่อฉันเลยสักเสี้ยววินาที ถ้าหากว่ามีหนังยางสักเส้น ฉันคงสามารถรัดตรึงหัวใจของเขาให้ผูกโยงเข้ากันกับหัวใจของฉันได้ ฉันอยากให้เขารักฉัน เมื่อนั้นฉันคงมีความสุขมาก ฉันต้องการหนังยาง ต้องการจริง ๆ ” เศรษฐีนีพึมพำซ้ำ ๆ

เด็กหญิงพยักหน้าเงียบ ๆ คล้ายกับตอนที่เธอฟังเรื่องราวของนายพล เด็กน้อยขอตัวจากไปโดยที่เศรษฐีนีได้เสียดาย แม้เด็กหญิงจะไม่สามารถให้สิ่งที่เธอปรารถนาได้แต่เธอก็อยากให้เด็กหญิงอยู่คุยกับเธอต่ออีกสักนิด หรือเธอควรจะเสนอทรัพย์สินให้เด็กน้อยดังที่เธอเสนอให้กับผู้ติดตามทั้งหลายของเธอดี เศรษฐีนีคิดพร้อมกับทอดนัยน์ตาแสนเศร้า

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ สิ่งที่หญิงเศรษฐีคิดตรงกับสิ่งที่เด็กหญิงคิดอยู่พอดี และไม่น่าแปลกใจด้วยที่นักเดินทางตัวน้อยจะไม่ยอมมอบหนังยางที่นอนอยู่ก้นกระเป๋าให้กับเธอคนนั้น เศรษฐีนีไม่ได้ต้องการหนังยางหรอก เด็กหญิงคิดพลางก้าวเดินต่อไป

ใช้เวลาเดินเท้าเพียงไม่กี่วันก็ถึงเมืองแสนมหัศจรรย์ ณ เมืองนี้ผู้คนช่างกระตือรือร้น ตั้งแต่เด็กหญิงเดินเท้าเขามาถึงบริเวณเขตชานเมืองก็เห็นเด็ก ๆ วิ่งเล่นไล่จับอย่างสนุกสนาน ชาวเมืองทำงานของตนอย่างขยับขันแข็ง ทุกคนทำให้บ้านเมืองครึกครื้นด้วยจังหวะดนตรี ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่เรียกรอยยิ้ม เรียกเสียงหัวเราะ และทำให้งานทุกชิ้นดูเป็นเรื่องสนุก เด็กหญิงอดเต้นรำไปตามชาวเมือง สนุกสนานร่าเริงไปตามท้องถนน แม้แต่ดอกไม้ของที่นี่ก็ชูช่อรับเสียงเพลง มันเป็นไม่กี่ครั้งที่เธอขยับเท้าเป็นจังหวะอื่นนอกเหนือจากจังหวะเต้นของหัวใจ

เด็กหญิงเพลิดเพลินจนพลัดหลงจากถนนสายหลักเข้าสู่ถนนสายรองของเมืองที่นำเธอไปสู่ร้านขายอุปกรณ์เดินทางแห่งหนึ่ง ร้านนี้ค่อนข้างซบเซาเมื่อเทียบกับร้านรวงบนถนนสายหลักที่เธอผ่านมา อาจเพราะร้านขายอุปกรณ์เดินทางไม่มีความจำเป็นต่อผู้คนในเมืองนี้ก็เป็นได้ บางทีพวกเขาอาจคิดว่าการเดินทางออกจากเมืองที่แสนงดงามนี้เป็นเรื่องไร้สาระ อาจมองว่าใครกันจะผละจากความสุขสบายในเมืองแสนสวยไปผจญภัยท่ามกลางภูเขาและลำห้วย เด็กหญิงรู้สึกว่าตนได้เผลอไผลไปตามจังหวะสังคมที่สร้างบรรยากาศให้เธอรู้สึกผ่อนคลายจนหลงลืมเรื่องการเดินเท้าของตนไปชั่วขณะ ไม่แปลกเลยที่คนทั้งเมืองจะยังคงหลงใหลเมืองนี้เพราะพวกเขาอยู่ที่นี่มานานกว่าเธอ

ณ ร้านขายอุปกรณ์เดินทางสำหรับนักผจญภัย มีเครื่องไม้เครื่องมือมากมายที่ช่วยอำนวยให้เหล่านักผจญภัยออกเดินทางได้อย่างอิสระ ทั้งอุปกรณ์ตั้งค่าย รองเท้าปีนเขา เกราะอ่อน โล่ ธนู ต้องขอบคุณทุกอย่างในร้านนี้ที่ล้วนปลุกเร้าวิญญาณนักเดินเท้าของเด็กน้อยให้อยากออกเดินทางอีกครั้ง เธอเชื่อว่าใครที่เข้ามาชมสินค้าในร้านนี้ก็ต้องรู้สึกเหมือนกัน แต่แล้ว ในร้านนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่ผิดแผกไปจากบรรยากาศของร้าน เจ้าของร้านที่นั่งนิ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงินนั้นมีรูปร่างผอมบางดั่งคนไม่ออกกำลังกาย ใบหน้าของเขาเซื่องซึมไม่กระตือรือร้นเหมือนบรรยากาศของร้าน ท่าทางของเขาเหมือนเสมียนผู้หมดไฟในการทำงาน

“สวัสดีจ้ะ ท่านไม่สบายหรือจ๊ะ” เด็กหญิงเดินเข้าไปทักทายชายหนุ่มเจ้าของร้าน

“สวัสดีหนูน้อย ฉันสบายดี เธอต้องการสินค้าอะไรหรือ” เขาหันมาตอบเด็กหญิงพร้อมกับหยิบใบรายชื่อสินค้าขึ้นมา เด็กหญิงสังเกตว่าแม้แต่พาชมร้านเขาก็ไม่นำเธอไป

“ท่านชอบการผจญภัยไหมจ๊ะ” เด็กหญิงเอ่ยถาม

“ชอบสิ ครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยออกเดินทางนะ” ชายเจ้าของร้านตอนด้วยสายตาแสนเศร้า

“ทำไมท่านถึงเลิกออกเดินทางล่ะจ๊ะ” เด็กหญิงเอียงคอถาม

“คำสาปของแม่มดทำให้ฉันเดินทางไปไหนไม่ได้น่ะ”

หลังจากพูดจบชายเจ้าของร้านก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ความจริงแล้วสิ่งที่เขาใช้นั่งต่างเก้าอี้ก็คือกล่องไม้ใบหนึ่ง มันสั่นไหวทันทีที่ชายหนุ่มลุกขึ้นและพาลจะลอยขึ้นจากพื้นเหมือนลูกโป่งอัดแก๊สที่พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากเชือกที่คอยผูกรั้งมันเอาไว้ เจ้าของร้านต้องคอยเอามือกดมันเอาไว้ไม่ให้มันหลุดมือ

“ในนี้มีความรัก ความฝัน ความจริง มีทุกอย่างที่ฉันรักสุดหัวใจ ...แม่มดสาปให้ทุกอณูจิตวิญญาณนักผจญภัยของฉันแยกออกจากกายเนื้อและพร้อมที่จะลอยหลุดหายไปในอากาศธาตุอย่างกู่ไม่กลับ ฉันไม่อยากสูญเสียมันไปจึงเลือกกักเก็บเอาไว้ในกล่องไม้ เปิดร้านขายอุปกรณ์เดินทางเพื่อหวังว่าสักวัน คงจะมีใครสักคนออกเดินทางแทนฉันคนนี้ที่ทำไม่ได้อีกแล้ว” ชายหนุ่มพูดเหมือนชายวัยชราที่มองย้อนกลับไปถึงอดีตที่ตนเคยทำและยังไม่ได้ทำ ช่างเป็นภาพที่ไม่สมวัยเสียจริง เด็กหญิงคิด

“มีอะไรที่หนูพอจะช่วยได้บ้างหรือเปล่าจ๊ะ” เด็กหญิงเอ่ยถาม

“เดินทางสิ เดินทางสิดี ออกไปผจญภัยแทนฉันที ฉันหมดหวังกับผู้คนในเมืองนี้เสียแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตัดพ้อ

“หนูคงทำให้ท่านไม่ได้หรอกค่ะ หนูเป็นแค่นักเดินเท้า หนูออกไปผจญภัยแทนใครไม่ได้ ไม่มีใครออกเดินทางแทนกันได้ เหมือนจิตวิญญาณแห่งนักผจญภัยที่ไม่สามารถถูกช่วงชิงได้เช่นกัน” เด็กหญิงส่งยิ้มให้กับชายเจ้าของร้านอย่างจริงใจ เด็กน้อยหันหลังเตรียมเดินจากไป เธอคิดว่าชายเจ้าของร้านคนนี้อาจต้องการหนังยางก็ได้ ...แต่ไม่หรอก การโอบกอดความฝันของตัวเองไม่ให้หลุดลอยไป ไม่ใช่หน้าที่ของหนังยางเสียหน่อย เด็กหญิงคิดพลางเดินเท้าต่อไป

เด็กหญิงเดินออกจากร้านขายอุปกรณ์เดินทาง ผ่านไปได้เพียงไม่กี่ซอยเด็กหญิงก็พบเด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายคนนั้นกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมทางข้างร้านซ่อมจักรยาน มือข้างซ้ายของเด็กน้อยกำบางอย่างเอาไว้แน่น สายตาก็สอดส่องไปทั่วบริเวณนั้นอย่างขะมักเขม้น

“หาอะไรอยู่เหรอจ๊ะ” เด็กหญิงเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถาม เด็กชายไม่ตอบ แต่ยื่นมือข้างที่กำแน่นมาข้างหน้า ค่อย ๆ คลายนิ้วมืออกเผยให้เห็นเหรียญที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเพราะเด็กชายกำเหรียญนั้นแน่นมาก ๆ

“อ๋อ หาหนังยางอยู่นั่นเอง” เด็กหญิงเอ่ยอย่างเข้าใจ

“ใช่ ฉันกลัวทำเหรียญพวกนี้หายน่ะ คุณแม่เคยแนะนำให้ฉันเอาเหรียญใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วใช้หนังยางมัดก้นถุงไว้อีกที เหรียญไม่มีวันหายไปไหนได้ เราจะสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของเหรียญทุกครั้งที่เดินเลยล่ะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ”

เด็กหญิงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะมอบหนังยางให้กับใครสักคนที่ต้องการมันจริง ๆ

“เอาหนังยางวงนี้ไปสิจ๊ะ ฉันให้”

เด็กชายดีใจกระโดดโลดเต้นไปทั่ว ในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่ตามหา เขารีบเก็บเหรียญใส่กระเป๋ากางเกงและใช้หนังยางรัดที่ก้นถุงอย่างที่ตั้งใจไว้ เด็กชายตอบแทนเด็กหญิงด้วยรอยยิ้มใสซื่อที่สดใสที่สุดเท่าที่เด็กหญิงเคยเห็น เธอเก็บรอยยิ้มนั้นติดใบหน้าไปด้วย ตอนนี้เด็กหญิงได้เป้าหมายใหม่แล้ว เธอตั้งใจจะแจกจ่ายรอยยิ้มที่เธอได้รับให้กับทุกสิ่งที่เธอเดินเท้าผ่าน และตั้งใจว่ามันจะเป็นเพียงหนึ่งหนึ่งในสองสิ่งที่เธอตั้งใจทำต่อจากนี้

“ฉันขอบคุณเธอมาก ๆ ฉันจะเอาเหรียญนี้ไปซื้อถุงหนังดี ๆ สักใบ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเก็บเหรียญอีกแล้ว เดินไปด้วยกันกับฉันไหม ร้านขายอุปกรณ์สำหรับนักเดินทางอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ย้อนกลับไปทางที่เธอเดินจากมาไม่กี่ซอยก็ถึงแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำชักชวนของเด็กชาย เด็กหญิงก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะไปซื้อถุงหนังที่ใด เธอกล่าวปฏิเสธและตั้งใจเดินทางต่อ ทั้งสองแยกทางกันและเรื่องราวของเด็กหญิงก็ดำเนินต่อไป เธอยังคงเป็นนักเดินเท้าแสนสดใสต่อไป ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเธอเดินเท้าต่อไป ณ แห่งหนใด แต่เชื่อได้เลยว่าเด็กหญิงจะต้องกำลังทำให้วันทุกวัน เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแน่นอน แล้วเช่นนั้นเรื่องราวของเราจะจบลงเพียงเท่านี้หรือ ความจริงเราสามารถจบเรื่องราวมหัศจรรย์ของนักเดินเท้าตัวน้อยลงเท่านี้ก็ได้ แต่พวกท่านนักอ่านทั้งหลายไม่สงสัยหรือว่าหลังจากเด็กชายได้รับวงหนังยางจากเด็กหญิงไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะมาติดตามดูเรื่องราวของหนังยางต่อไปกันดีกว่า สุดท้ายแล้วเจ้าหนังยางที่ทุกคนเฝ้าตามหานั้นจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไร...

.

.

.

 

ประกาศกิจกรรมแสนสนุก : ก่อนจะไปติดตามเรื่องราวกันต่อ "ดันพาวน" ขอชวนนักอ่านที่น่ารักทุกท่านร่วมกิจกรรม "เดาตอนจบ" ของเรื่องสั้นเรื่อง "The Very Simple Rubber Band หนังยาง" เพียงเเค่ทุกท่านกด ร่วมกิจกรรม เเล้วเเชร์โพสต์ของเพจดันพาวนพร้อมกับเขียนเดาเรื่องราวตอนจบในเเบบของเพื่อน ๆ ได้เลย เมื่อเเชร์เเล้วเพื่อน ๆ ก็สามารถติดตามอ่านตอนจบของเรื่องนี้ต่อได้เลยค่ะ มาร่วมกิจกรรมกันเยอะ ๆ นะคะ เราจะรออ่านเรื่องราวของทุกคนค่ะ :]

.

.

.

ไปอ่านต่อกันเลย

 

เด็กชายรีบวิ่งไปที่ร้านขายอุปกรณ์เดินทาง เมื่อเปิดประตูเข้าไปในร้านเขาเห็นชายเจ้าของร้านกำลังง่วนอยู่กับการรัดเจ้ากล่องไม้ใบใหญ่ด้วยเชือกเส้นหนาเพื่อให้สะพายได้เหมือนกระเป๋า เด็กชายสังเกตเห็นสิ่งของรอบกายของชายเจ้าของร้านถูกจัดเก็บเข้ากระเป๋าหนังราวกับกำลังจะออกเดินทาง

“คุณจะปิดร้านเหรอครับ” เด็กชายเอ่ยถามขณะวางถุงหนังและเงินลงบนเคาน์เตอร์

“ใช่แล้ว”

“สิ่งของในกล่องนั้นใหญ่มากเหรอครับ” เด็กชายชี้ไปที่กล่องไม้บนหลังชายเจ้าของร้าน

“ไม่หรอก ความฝันที่อยู่ในนี้มีขนาดเล็กนิดเดียวแต่มันมีพลังยิ่งใหญ่มาก มันทำให้ฉันหนักแน่นแต่ขณะเดียวกันตัวมันเองก็พร้อมหลุดลอยหายไปในอากาศ ...เด็กน้อยคนหนึ่งพูดถูก แม้มันจะเบาแต่มันก็ไม่สามารถถูกช่วงชิงได้” ชายเจ้าของร้านพูดพลางมองเข้าไปในอากาศราวกับกำลังระลึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเด็กหญิงนักเดินเท้าที่กระตุ้นให้เขาอยากออกเดินทางอีกครั้ง แม้จะต้องแบกเจ้ากล่องแสนใหญ่นี้ไปด้วยก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้น เอาหนังยางนี่ไปสิครับ” เด็กชายยื่นหนังยางที่หมดหน้าที่ของมันสำหรับเขาแล้วให้ชายเจ้าของร้าน “ใช้หนังยางเส้นนี้รัดเจ้าความฝันที่คุณพูดถึงสิครับ มันต้องทำให้คุณเดินทางสะดวกกว่ากล่องไม้แน่นอน”

หนังยางเปลี่ยนมือเจ้าของไปอย่างรวดเร็วภายในวันเวลาอันรวดเร็ว ชายเจ้าของร้านเปิดเอาความฝันที่เคยเก็บลงกล่องขึ้นมา เขาใช้หนังยางเส้นเดียวกันนั้นรัดเจ้าก้อนความฝันไว้ใกล้หัวใจมากที่สุดเพราะจะได้รู้ตัวเสมอเวลามันจะล่องลอยไปที่แห่งใด เขาจะได้พาให้ร่างกายเดินไปตามความฝันอย่างที่ใจหวัง

อดีตชายเจ้าของร้านออกเดินทางไปทิศตรงกันข้ามกับที่เด็กหญิงเดินจากไป เขาย้อนกับไปทางที่เด็กหญิงเคยเดินจากมาและได้พบรักกับเศรษฐีนีคนหนึ่ง ณ เมืองสองขั้วฝั่งที่มีวิทยาการก้าวหน้า ตอนที่ทั้งสองพบกันหญิงเศรษฐีนีเสนอเงินให้กับเขาเพื่อแลกกับหนังยาง แต่เขาปฏิเสธเพราะหนังยางก็สำคัญกับเขาไม่แพ้กัน ที่น่าแปลกใจคือชายเจ้าของร้านกับเศรษฐีนีสามารถพูดคุยกันอย่างถูกคอแม้พวกเขาจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เศรษฐีนีสดใสมากขึ้นจากแต่ก่อนมาก เธอมีความสุขมากแม้ได้สนทนากับชายนักเดินทางในเวลาอันสั้น เธอพาเขาเดินเที่ยวเมืองโดยปราศจากผู้ติดตามจอมสอพลอ เศรษฐีนีเล่าปัญหาของเธอให้เขาฟังถึงความรักที่ไม่สมหวังของตน อดีตขายเจ้าของร้านที่ตอนนี้กลายเป็นนักเดินทางเต็มตัว เขาบอกกับเศรษฐีนีว่าความจริงแล้ว เศรษฐีนีไม่ได้ต้องการหนังยางเพื่อรัดตรึงหัวใจของชายหนุ่มเจ้าของร้านเครื่องสำอางหรอก ประการแรกเธอไม่สามารถบังคับเอาหนังยางรัดหัวใจของใครเพื่อให้เขามีความผูกพันกับเธอ ประการที่สองหัวใจของเธอเพียงต้องการใครสักคนที่เข้าใจมาเติมเต็มซึ่งกันและกันเท่านั้น

คำกล่าวของชายนักเดินทางเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เด็กหญิงนักเดินเท้าไม่มอบหนังยางให้กับเศรษฐีนี หัวใจของเธอว่างเปล่าเกินไปแม้ได้หนังยางไปเธอก็ใช้มันรัดรั้งให้ใครมาเติมเต็มเธอได้ เมื่อได้ฟังดังนั้นเธอก็เข้าใจแล้วว่าตนไม่ได้ต้องการหนังยางจริง ๆ เศรษฐีนีและนักเดินทางตกหลุมรักซึ่งกันและกันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินจนข้ามมาอีกฝั่งของเมืองและพบเข้ากับสภาพเสื่อมโทรมของเมืองฝั่งนี้และได้เจอกองทหารที่กำลังจะหมดแรง

เมื่อนายพลเห็นว่าชายนักเดินทางมีหนังยางก็เข้าไปยื้อแย่งจนหนังยางนั้นถูกยืดออกจนขาด ชายอดีตเจ้าของร้านรีบเข้าไปกอบกุมความฝันที่ตอนนี้ไม่มีหนังยางรัดเอาไว้แล้ว ปรากฏว่ามันไม่ได้พยายามลอยหนีไปจากเอาอีกแล้ว ฝั่งนายพลกลับยิ่งเสียใจ พวกเขาเกือบได้หนังยางมาแล้วแท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าสงครามได้หลุดลอยห่างไกลออกไปแทน

คู่รักเดินเข้าไปพูดคุยกับนายพล เมื่อได้สนทนากันเศรษฐีนีไม่ได้ตกใจเลยสักนิดที่กองกำลังของเมืองฝั่งนี้กำลังเตรียมการเพื่อสร้างสงครามกับเมืองฝั่งของเธอขาดก็แต่หนังยางเส้นหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวมองไปรอบ ๆ เธอก็พบกับความหิวโหยของประชาชนในเมือง มองไม่เห็นความต้องการก่อสงครามของคนในเมืองเลยสักนิด พวกเขาทำไปเพราะถูกพ่อค้าอาวุธนั่นหลอกแท้ ๆ สิ่งที่ประชาชนเมืองนี้ต้องการไม่ใช่หนังยางเพื่อก่อสงครามแต่พวกเขาต้องการอาหาร ความมั่งคงในชีวิต บ้านเมืองที่สะอาดปลอดภัย และที่สำคัญพวกเขาต้องการความสุข

เศรษฐีนีตกลงแบ่งปันวิทยาการทั้งหลายที่ตระกูลของเธอครอบครองให้กับเมืองฝั่งนี้ เธอสนับสนุนการสร้างโรงเรียน สร้างศาสนสถาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ในที่สุดเมืองฝั่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หนังยางอีกต่อไป แต่จะว่าไม่ต้องการเสียทีเดียวก็ไม่ได้เพราะยังมีเด็กน้อยบางคนที่ต้องการหนังยางสำหรับรัดก้นกระเป๋ากางเกงเพื่อเก็บรักษาเหรียญอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้นเพราะพวกเขาได้เรียนรู้ที่จะใช้วิธีอื่นในการเก็บรักษามันจากโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว รวมถึงวิธีหาเหรียญเผื่อในกรณีที่พวกเขาทำมันหายอีกด้วย

คงถึงเวลาจบเรื่องราวแสนมหัศจรรย์นี้ลงเสียแล้ว ท่านทั้งหลายคงได้เห็นประโยชน์ของหนังยางเส้นเล็ก ๆ นี่แล้ว หนังยางไม่ได้มีไว้เพื่อก่อสงคราม ไม่ได้มีไว้เพื่อรัดตรึงความรักของผู้ใดให้คงอยู่กับเรา อาจจะช่วยรัดรึงความฝันของบางคนได้บ้างแต่พวกท่านคิดว่าหนังยางจะใช้ได้ผลกับชายเจ้าของร้านจริง ๆ หรือหากเขาไม่มีใจที่จะออกเดินทางตามความฝันของตนด้วยตัวของเขาเอง ประโยชน์ของหนังยางไม่ได้มหัศจรรย์อย่างนั้นหรอก สำหรับเรื่องนี้หนังยางทำได้แค่ช่วยรัดสิ่งของไม่ให้หล่นหายอย่างที่เด็กหญิงได้มอบให้เด็กชายผู้กำเหรียญเท่านั้นเอง


นั่นแหละคือหน้าที่ของหนังยาง


-END-

60 views0 comments
bottom of page