top of page
Writer's picturedanpawon

Bloody Party คดีฆาตกรรมราตรีสีชาด : ศพที่ 4 นางาซาวะ ฮิโรกิ

Updated: Oct 13, 2021


Bloody Party คดีฆาตกรรมราตรีสีชาด


รุ่งเช้าในฤดูใบไม้ร่วง เดือนพฤศจิกายน ได้มีการรายงานว่า พบศพผู้เสียชีวิตจำนวน 7 ราย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย ณ บ้านพักตากอากาศกลางหุบเขาในจังหวัดคุมาโมโตะ คดีดังกล่าวกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ เนื่องจากพยานแวดล้อมระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันและไม่มีใครเข้าหรือออกบ้านหลังนั้นตลอดคืน ตำรวจยังคงพยายามสืบหาสาเหตุการตายของเหยื่อทุกราย เบาะแสเดียวที่เหลืออยู่คือผู้รอดชีวิตซึ่งบาดเจ็บสาหัสจนเเพทย์คาดว่ามีสิทธิ์กลายเป็นเจ้าชายนิทรา คดีฆาตกรรมราตรีสีชาดจะกลายเป็นคดีห้องปิดตายที่ไม่มีผู้รอดชีวิตออกมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนองเลือดให้โลกได้รับรู้ถึงความเหี้ยมโหดของมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึงหรือไม่ คดีฆาตกรรมราตรีสีชาดจะยังคงเป็นปริศนาที่ต้องรอการคลี่คลายคดีอีกนานแค่ไหน เรายังต้องติดตามกันต่อไป


 

ศพที่ 4 : นางาซาวะ ฮิโรกิ

 


‘รอยยิ้มของนายอบอุ่นเหมือนเเมวนอนอาบเเดดในวันฟ้าสีครามเลย’ 23.24 น.

.

.

.

‘ฉันอยากเจอนายจัง ฮิโรกิ’ 13.36 น.

.

.

.

‘ฉันรักนายนะ’ 00.04 น.



ผมตื่นขึ้นมาบนพื้นห้องนั่งเล่นเย็นเฉียบ รอบกายคือความมืดและอากาศหนาวเสียดกระดูก ผมยกมือขึ้นกุมขมับอย่างอ่อนล้า เหลือบมองนาฬิกาโดยอาศัยแสงจากเสาไฟข้างถนนที่ลอดเข้ามา ปรากฏว่าเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสามและเข็มยาวที่ชี้ไปที่เลขหก

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาที่ห้องได้อย่างไร ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดทำให้ผมไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้ ผมพยายามบังคับสติให้ลุกขึ้นจากพื้นหินอ่อนแล้วเดินโซเซไปที่เตียงนอนอย่างน่าขัน ในใจนึกอยากด่าตัวเองที่ดื่มมากเกินไป ก็แน่ล่ะ ดื่มจนไม่รู้ว่าตัวเองมานอนที่พื้นแบบนี้ได้ยังไงมันก็ออกจะเกินไปหน่อยสำหรับคนที่แทบจะไม่แตะสิ่งมึนเมาแบบผม แต่ใครสนกันล่ะ ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า ยังไงอากาศหนาว เตียงเย็นชืด ห้องมืดสนิท และสภาพเมาเละเทะจนแทบดูไม่ได้ก็เหมาะกับผมดีเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีสภาพแบบนี้


‘น่าสมเพช’


นั่นคือคำแรกที่แล่นเข้ามาในหัว ผมพยายามหลับตาพริ้มเพื่อหลบซ่อนน้ำตารื้นที่มีท่าทีว่าจะซึมออกมาอีกระลอก ผมเม้มปากแน่นอย่างอดกลั้นเพราะความเจ็บปวดที่แม้แต่แอลกอฮอล์ก็ไม่สามารถบรรเทา


อย่าร้องนะฮิโรกิ


ผมพยายามกล่อมตัวเองซ้ำ ๆ เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เชื่อว่าคำร่ายมนตร์ของผู้ใหญ่จะช่วยให้บรรเทาความเจ็บปวดออกไปได้ ผมพลิกตัวนอนขดแล้วยกมือขึ้นกอดตัวเองคล้ายเด็กทารกที่แสนอ่อนแอ สุดท้ายก็คงหวังให้ท่อนแขนคู่นี้กกกอดตัวเองให้คลายความเศร้าลงบ้าง แต่แม้จะบอกตัวเองยังไง กอดตัวเองแน่นแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความคาดหวังสัมผัสจากเขาคนนั้นได้ เมื่อคิดถึงสัมผัสที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ผมก็ไม่สามารถต้านทานอาการเจ็บปวดปานจะขาดใจ ก้อนสะอื้นที่น่าสมเพช และความขมขื่นบาดลึกที่เเสนทรมานนี้ได้อีกต่อไป...

น้ำตามากมายไหลเอ่อล้นออกมาอยากเกินต้านทาน ผมยกมือขึ้นกดริมฝีปากตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา อะไรก็ได้แต่อย่าหลุดสะอื้นนะ ผมบอกตัวเอง ผมไม่อยากตอกย้ำความรู้สึกด้อยค่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว พอสักที

ผมคว้าซองเอกสารบนโต๊ะข้างเตียงมากอดไว้แนบอก ข้างในซองมีภาพแอบถ่ายชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง ในภาพเขากำลังสนุกสนานกับการใช้จ่ายเงินทองไปกับสิ่งของฟุ่มเฟือยพร้อมกับเพื่อนสาวและชายไม่ซ้ำหน้า


‘คนเลว’


ชายผู้เป็นเป้าหมายที่ผมส่งคนไปตามสืบเป็นคนรักของผมเอง ผมควรรู้ตั้งนานแล้วว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องทำให้ผมเสียใจ ประกายในตาของเขาจากรูปถ่ายช่างแสนมีความสุข ต่างจากนัยน์ตาแสนเศร้าของผมตอนนี้ หัวใจของผมปวดร้าวราวกับถูกบดขยี้ด้วยส้นรองเท้าราคาแพง หัวใจผมถูกเขาเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมก็ยังไม่วาย...ไม่วาย วางหัวใจไว้แทบเท้าของเขาอย่างนั้น ผมมันโง่ที่ไม่ยอมเลิกรักเขาได้เลยแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

ขณะนี้เป็นเวลาตีสามย่างตีสี่ เช้าวันนี้ผมจะต้องออกเดินแล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนผมตกลงไปร่วมงานเลี้ยงสำหรับสมาชิกบล็อกคนรักของเก่าซึ่งเป็นการนัดหมายกันระหว่างสมาชิกในสังคมออนไลน์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ เขาคนนั้นจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน ผมจะต้องเดินทางเพื่อไปเผชิญหน้ากับเขาให้ได้ ต้องไปให้เห็นกับตาว่าทุกถ่อยคำที่เขาเคยพร่ำบอกในกล่องข้อความ มันคือคำลวง

ริมฝีปากของผมคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา ผมหวนนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับเขาในช่องเเชทของบล็อกคนรักของเก่าที่บังเอิญไปพบเข้าในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน รอยยิ้มขมขื่นในตอนนี้ตอกย้ำสัญชาตญาณมากมายที่ต่างก็พร่ำเตือนตัวเองมาตลอดว่าอย่ามอบหัวใจให้คนในอินเทอร์เน็ต ผมน่าจะเชื่อตัวเองสักครั้ง แต่ให้ทำยังไงได้ ผมหลงรักผู้ชายคนนั้นไปแล้ว หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น

ในวันที่ผมรับข้อความแรกจากเขา ผมมองเห็นกำแพงสูงเสียดฟ้าที่อยากจะข้ามได้ แต่ผมก็เลือกที่จะตั้งหน้าตั้งตาปีนโดยไม่สนใจคำทัดทานของตัวเอง แล้วสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ตกลงมาบาดเจ็บสาหัส พ่ายแพ้ และ...ไร้ซึ่งผู้รับผิดชอบ



ผมชื่อ นางาซาวะ ฮิโรกิ ผมเป็นลูกชายจากตระกูลผู้ส่งออกบอนไซที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ของญี่ปุ่น บ้านเกิดของผมอยู่ที่จังหวัดไซตะมะ ผมมาเรียนต่อที่โตเกียวได้สามปีแล้ว อีกแค่หนึ่งปีผมก็จะเป็นอิสระ

ตระกูลนางาซาวะของเรารับช่วงดูแลบอนไซมาแล้วหลายรุ่น โชคดีที่ผมเป็นลูกชายคนเล็ก ที่บ้านจึงไม่กดดันให้ผมสานต่อธุรกิจครอบครัว มีเพียงสองอย่างที่ที่บ้านต้องการจากผมก็คือเรียนมหาวิทยาลัยให้จบและขอให้หมั้นหมายกับลูกสาวตระกูลอากามิเนะ เรื่องเรียนให้จบเป็นประโยชน์กับผมแน่อยู่แล้ว แต่เรื่องหมั้นหมายนี่สิที่ผมไม่ได้ยินดีหรือยินร้าย ผมไม่เคยขัดใจที่บ้านอยู่แล้วจึงตอบตกลงไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย ผมเชื่อว่าเธอเองก็คงเป็นเหยื่อของเหตุการณ์คลุมถุงชนที่ผู้ใหญ่ต้องการผสานธุรกิจจากตระกูลเก่าแก่ให้เป็นทองแผ่นเดียวกันไม่ต่างจากผม เราไม่เคยติดต่อกัน ผมไม่เคยติดต่อไปและเธอก็ไม่เคยติดต่อมา เราต่างก็ใช้ชีวิตเพียงเเค่ในนามของการหมั้นหมายเเต่ในทางปฏิบัติแล้ว...เราคือคนเเปลกหน้า

ชีวิตประจำวันของผมค่อนข้างเรียบง่าย ตื่นเเต่เช้าเพื่อฟังเสียงสรรพสิ่งค่อย ๆ ตื่นขึ้นจากนิทรายามพระอาทิตย์สาดแสง ทำความสะอาดห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยที่ออกจะกว้างขวางเกินไปหน่อยสำหรับนักศึกษาอย่างผม ออกไปว่ายน้ำที่มหาวิทยาลัย ไปยืมหนังสือที่ห้องสมุด เข้าเรียน กลับมาดูเเลบอนไซที่ห้อง แล้วก็นั่งอ่านหนังสืออัตชีวประวัติบุคคลสำคัญ ความเคยชินของผมดำเนินไปเช่นนี้ตลอดสามปีของการเรียนมหาวิทยาลัย แต่แล้วก็มีแรงกระเพื่อมหนึ่งที่ทำให้วันธรรมดาของผมกลายเป็นวันที่สดใสกว่าที่เคยเป็น


‘saGi4nE ส่งข้อความหาคุณ’


เช้าวันหนึ่งช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ข้อความจากแอคเคาท์ปริศนาปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องสวยในห้องนอนของผม ตอนนั้นผมอยู่ที่บ้านเกิด เมื่อกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นข้อความจากบล็อกคนรักของเก่าที่ผมพบในอินเทอร์เน็ตเข้าโดยบังเอิญ ชื่อแอคเคาท์ดูฉูดฉาดไปนิดสำหรับคนที่มีรสนิยมชื่นชอบการสะสมของเก่า อีกฝ่ายแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของเจ้าของบล็อก ตอนนั้นผมนึกว่าตนกำลังคุยกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ บทสนทนาระหว่างผมกับเขาจึงค่อนข้างเป็นทางการ

พวกเราคุยกันอย่างถูกคออย่างน้อยก็ในมุมของผม แม้จะใช้ถ่อยคำที่ทางการไปสักหน่อยเพราะผมคุ้นเคยกับการสนทนากับบรรดาคุณตาผู้ดูแลบอนไซทั้งหลายอยู่แล้ว แต่เราก็เข้ากันได้ดี แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาหลักที่ผูกเราเอาไว้ก็คือเรื่องสะสมของเก่า เมื่อไว้ใจกันมากขึ้นก็คุยกันเรื่องความชอบ ผมสนุกทุกครั้งที่เราได้พูดคุยกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เขาชวนคุยผ่านช่องแชทผมก็ชอบทั้งหมด ฤดูร้อนของผมไม่เคยอบอ้าวเมื่อได้อ่านข้อความของเขา เสียงจั๊กจั่นไม่เคยเสียดหูเมื่อได้ยินเสียงข้อความของชายคนนั้น เมื่อผ่านไปหลายวันผมก็เริ่มรอคอยข้อความจากอีกฝ่าย


‘ไม่อยากคุยแล้ว’11.34 น.


หัวใจผมแทบเต้นผิดจังหวะเมื่อได้อ่านข้อความสั้น ๆ ทำไมกัน ทำไมอยู่ ๆ เขาก็ไม่อยากคุยกับผมแล้ว ผมได้แต่ถามตัวเองย้ำ ๆ ว่าทำไม ทำไมเขาถึงส่งข้อความมาอย่างนั้น แต่ในอีกห้านาทีต่อมาเขาก็ส่งข้อความมาบอกว่า ไม่อยากคุยแบบใช้คำพูดทางการแล้วต่างหาก ผมทั้งโล่งอกแต่ก็ชะงักไปเพราะไม่คิดว่าคนอายุเยอะอย่างนั้นจะต้องการเป็นเพื่อนกับเด็กมหาวิทยาลัยอย่างผม ผมบอกเขาไปตามตรงว่าผมไม่สะดวกใจถ้าหากต้องคุยกับคนอายุเยอะกว่าด้วยคำพูดไม่ทางการ


‘saGi4nE ส่งรูป’ 11.55 น.


ผมกดเข้าไปดูรูปภาพที่เขาส่งมา หัวใจของผมเต้นระรัวเมื่อภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีแดง ในรูปเขากำลังส่งยิ้มทะเล้นมาให้กล้องอย่างสดใส


‘อายุเท่านี้คุยธรรมดาได้ยัง’ 11.56 น.


หลังจากนั้นมาเราก็คุยกันด้วยถ่อยคำธรรมดาแบบที่คนรุ่นราวคราวเดียวคุยกัน แต่ผมกับเขาต้องปรับความเข้าใจกันเยอะทีเดียว อันดับแรกเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าของบล็อกจริง เขาอายุเยอะจริง เยอะในที่นี้คือเยอะที่สุดในบรรดาสมาชิกบล็อกเพราะที่นี่มีสมาชิกเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น เขาที่อายุ 24 ปีจึงเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาเพื่อน ๆ ทั้งหมดที่อยู่ในบล็อก คราแรกผมตกใจที่นักสะสมของเก่ากลุ่มนี้อายุยังน้อยอยู่เลย แต่ทุกคนก็ดูจะครอบครองของสะสมอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะเจ้าของบล็อก ผมที่เป็นนักสะสมมือใหม่ต้องเรียนรู้จากพวกเขามากทีเดียว

‘ฉันอยากเจอนายจัง ฮิโรกิ’ 13.36 น.


บ่ายวันหนึ่งผมได้รับข้อความจากเขา ตอนนั้นผมกำลังช่วยคนงานที่บ้านขนย้ายบอนไซ สภาพเหงื่อโทรมกายจนไม่มีแรงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่าน


‘ส่งรูปมาก็ได้’ 13.37 น.


จะว่าไปก็จริงของเขา เราคุยกันตั้งแต่ต้นฤดูร้อนที่ผมกลับต่างจังหวัดมาช่วยงานที่บ้าน จนตอนนี้ผมใกล้จะต้องกลับไปเรียนที่โตเกียวแล้วแต่ยังไม่เคยส่งภาพไปให้เขาดูเลย ผมเปิดโหมดถ่ายภาพแล้วกดถ่ายรัว ๆ เมื่อเลือกภาพที่สภาพไม่ได้แย่แต่ก็ดูไม่ได้ตั้งใจเกินไปส่งไปให้เขา กลั้นใจกดส่งไปทั้ง ๆ ที่ใจยังเต้นระรัว


‘BonsaiBoy ส่งรูปภาพ’ read


ภาพของผมที่ส่งไปขึ้นสัญลักษณ์ว่าอีกฝ่ายอ่านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะตอบข้อความกลับมา เมื่อผ่านไปสิบนาทีเขายังไม่อ่านผมก็ละความหวัง เมื่อเขาเห็นใบหน้าของผมแล้วเขาอาจจะไม่อยากคุยกับผมแล้วก็ได้ ผมวางโทรศัพท์ไว้แล้วไปขนบอนไซต่อ


‘รอยยิ้มของนายอบอุ่นเหมือนเเมวนอนอาบเเดดในวันฟ้าสีครามเลย’ 23.24 น.


เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในเวลาเกือบข้ามวัน ผมที่ยังพลิกตัวไปมาเพราะยังไม่สามารถข่มตานอนได้เนื่องจากกังวลใจเรื่องรูปถ่ายรีบลุกขึ้นจากฟูกแล้วคลานไปหาจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างขึ้นจากแจ้งเตือนข้อความเข้า


‘นางาซาวะ ฮิโรกิ’ 23.25 น.


23.25 น. ‘ว่าไง โคซากะ มิคาโดะคุง’


‘ถ้าผ่านวันนี้ไป ฉันจะแก่ขึ้นอีกหนึ่งปี’ 23.25 น.


23.26 น. ‘สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้า’


‘ฉันอยากได้ของขวัญวันเกิด’ 23.26 น.


23.26 น. ‘ถ้าหากไม่เหนือบ่ากว่าแรง ผมก็ยินดี’


‘ฉันอยากได้ของขวัญพิเศษจากนาย’ 23.30 น.


23.31 น. ‘ว่ามาสิครับ ผมจะรับไว้พิจารณา’


‘ถ้าผ่านเที่ยงคืนนี้ไป ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’ 23.45 น.


23.46 น. ‘ครับ’


‘นายพร้อมสำหรับคำขอของฉันหรือยัง’ 23.45 น.


23.46 น. ‘เหมือนมัดมือชกผมเลย555’


‘เวลาเดินอยู่นะ’ 23.46 น.


23.55 น. ‘โอเคครับ ผมพร้อมแล้ว คุณอยากขออะไร’


‘คบกันนะ’ 23.56 น.


23.57 น. ‘ครับ?’


‘นายรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร’ 23.56 น.


‘ถึงนายจะยังไม่ไว้ใจฉันตอนนี้ก็ไม่เป็นไร’ 23.56 น.


‘แต่ตลอดมาที่เราคุยกันในนี้มันดีมาก ๆ’ 23.57 น.


‘ฉันเองก็กังวลที่ใจร้อน ขอนายคบเร็วเกินไป’ 23.57 น.


‘ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์บนอินเตอร์เน็ตมันไม่น่าไว้ใจ’ 23.58 น.


‘แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกของฉันเหมือนกัน’ 23.58 น.


‘ฉันให้นายตัดสินใจฮิโรกิ’ 23.58 น.


‘มาเป็นของขวัญของฉันเถอะนะ’ 23.59 น.



00.00 น. ‘ตกลงครับ ผมจะเป็นของขวัญให้คุณเอง’


‘ฉันรักนายนะ’ 00.04น.


เมื่อเข็มยาวของนาฬิกาเคลื่อนตัวออกจากเลขสิบสอง นั่นนับเป็นวินาทีแรกที่เราคบกัน โคซากะ มิคาโดะ คือชายคนรักของผม รักทางไกลของเราเริ่มต้นจากตรงนี้ ผมมีความสุขเหลือเกินกับห้วงเวลา ณ ตอนนั้น ใคร ๆ ต่างก็บอกว่ารอยยิ้มของผมสดใสมากขึ้นกว่าเดิม แต่เชื่อไหมล่ะว่าไม่เคยมีใครเปรียบเทียบรอยยิ้มของผมได้พิเศษเท่ากับเขาคนนั้นอีกแล้ว

รักของเราดำเนินไปได้ด้วยดี แต่แล้วใครจะรู้ว่าสุดท้ายมันจะกลับกลายเป็น...โศกนาฏกรรม



ปัจจุบัน


เช้านี้ผมมีอาการเมาค้างนิดหน่อย ไม่มีอาการคลื่นไส้แค่ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น โชคดีที่ไม่มีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากร่างกาย นับว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยขับสิ่งตกค้างในร่างกายออกไปได้รวดเร็วทีเดียว ผมโบกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบินฮาเนดะ นั่งเครื่องประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาทีก็มาถึงสนามบินคุมาโมโตะ สถานที่จัดงานเลี้ยงชมรมนักสะสมของเก่าที่ผมกับมิคาโดะคุงเข้าร่วมจะจัดขึ้นในบ้านพักตากอากาศของฮาตาโอกะ ยูกิ บ้านพักที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาเอโซะ ท่ามกลางเมืองที่มีหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณอายุกว่า 300 ปีและมีป่าอุดมสมบูรณ์ล้อมรอบ ที่นั้นจะต้องเป็นสถานที่เหมาะแก่การพักผ่อนและฟื้นฟูสภาพจิตใจที่แสนบอบช้ำของผมได้อย่างแน่นอน ผมมั่นใจ

ขณะนั่งอย่างสงบบนเครื่องบินที่กำลังเคลื่อนที่ไปยังจุดหมาย ซองสีน้ำตาลที่บรรจุรูปภาพของคนรักหลอกลวงยังคงวางอยู่บนตัก ผมนึกทบทวนข้อมูลที่ผมได้รับจากนักสืบเอกชนที่ผมว่าจ้างไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนพร้อมกับกอดปลอบตัวเองไปพลาง นึกย้อนกลับไปตอนที่นักสืบยื่นซองสีน้ำตาลนี่พร้อมกับข้อมูลที่ผมไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด


“...โคซากะ มิคาโดะกำลังหลอกลวงคุณ เขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋นที่พยายามใช้สายสัมพันธ์จอมปลอมทางอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างรายได้เข้ากระเป๋าให้กับตัวเอง คุณนางาซาวะเองก็เป็นเพียงแค่ ‘เหยื่อ’ คนหนึ่งของเขาเท่านั้นครับ”

“หมายความว่ายังมีคนอื่นอีกหรือครับ”

“ใช่ครับ โคซากะไม่เคยลงมือหลอกลวงเหยื่อทีละคน เขามักจะสร้างตัวเลือกขึ้นมาให้มากที่สุด และพยายามสร้างตัวตนขายฝันขึ้นมาให้ตรงกับความต้องการของเหยื่อที่เขาเลือกสนทนาด้วย ความจริงในกรณีของคุณนางาซาวะค่อนข้างพิเศษ คุณนับว่าเป็นเหยื่อที่ใกล้ชิดกับหมอนี่มากที่สุดเพราะหมอนี่เลือกใช้ชื่อจริง ภาพจริง และสังคมของเขาจริง ๆ ในการสร้างความแนบเนียนให้คุณเชื่อใจมากที่สุด”นักสืบเอ่ย

“ทำไม” ผมรู้สึกราวกับมีความรู้สึกมากมายหลั่งไหลมาจุกอยู่ที่คอ

“เพราะคุณพิเศษยังไงล่ะครับ”นักสืบเอ่ยต่อ

“พิเศษ?”เหมือนมีประกายความหวังเกิดขึ้นในใจของผม แต่แล้วมันก็ต้องดับวูบลงเมื่อคุณนักสืบเฉลย

“กระเป๋าหนักเป็นพิเศษครับ”

‘หรือไม่ก็โง่เป็นพิเศษ’ ผมคิดในใจด้วยความผิดหวัง

“อย่าได้หลงเชื่อว่าการที่เขาปฏิบัติต่อคุณแบบที่เสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขามากที่สุดอย่างนี้เป็นเพราะเขาสนใจในตัวคุณ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะให้ข้อมูลกับคุณ แต่ว่าลักษณะคำพูดที่เขาสนทนากับคุณผ่านช่องแชทล้วนแล้วแต่ ‘ปรุงแต่ง’ ขึ้นทั้งนั้น...”


จริงอยู่ที่หลังจากเราคบกันมิคาโดะก็มีสิ่งที่เขาอยากได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง สิ่งของ แต่ว่านั่นมันก็เป็นสิ่งที่คนรักอย่างเราพอจะช่วยกันได้ไม่ใช่หรือ ผมที่ไม่ขัดสนเรื่องเงินก็ควรช่วยเขาเท่าทำได้ไม่ใช่หรืออย่างไร แน่นอนว่าพอเขาได้สิ่งที่เขาต้องการเขาก็ใจดีกับผมมาก เราเองก็เป็นคู่รักที่เพิ่งเคยมีความสัมพันธ์ทางอินเทอร์เน็ตครั้งแรกด้วยกันแท้ ๆ แต่ทำไม ทำไมคุณนักสืบจะต้องมาใส่ร้ายมิคาโดะคุงว่าเขากำลังหลอกลวงผม เพราะงั้นผมจึงต้องมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่ามิคาโดะคุงเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า เขาจะหลอกผมได้ลงจริง ๆ หรือ? มิคาโดะคนอ่อนโยนที่มักจะส่งข้อความมาให้กำลังใจผมเสมอน่ะหรือที่เป็นนักต้มตุ๋น

ผมพยายามสลัดเสียงของคุณนักสืบออกจากหัว แต่เมื่อยิ่งพยายามกำจัดมันเท่าไร เสียงที่พร่ำบอกว่าผมเป็นเพียงแค่ ‘เหยื่อ’ คนหนึ่ง มันก็ยิ่งทำให้หัวใจผมปริแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยากจะกอบกุมให้มันหวนกลับมาเป็นหัวใจดวงเดิมได้

เมื่อเครื่องบินลงจอด ผมโบกแท็กซี่แล้วมุ่งหน้าไปตามคำบอกของเจ้าบ้านในแจ้งเตือนกลุ่ม เมื่อถึงที่หมายผมก็มองเห็นรถของเจ้าบ้านที่ส่งคนมารับเพื่อขึ้นไปบนเขาอีกทีจอดรออยู่เเล้ว คนขับรถอาสายกกระเป๋าให้ผม ผมส่งรอยยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกขอบคุณ พูดตามตรง สภาพของผมที่ยังมีอาการปวดหัวอ่อน ๆ คงดูอ่อนแอมากในสายตาของเขา

รอบที่ผมนั่งขึ้นไปบนเขานั้นยังไม่มีใครโดยสารมาด้วยเลย บางทีคนอื่นอาจจะยังมาไม่ถึงหรือไม่ก็เป็นผมที่สายเอง แต่แล้วคนขับรถก็เฉลยว่าแท้จริงแล้วผมเป็นแขกคนแรก ๆ ของบ้านพักเลยต่างหาก ผมยกยิ้มขึ้นในใจ ดีแล้วล่ะที่ผมมาก่อน จะได้มีเวลาเตรียมใจนานขึ้นหน่อย

ตลอดเส้นทางที่รถยนต์เคลื่อนผ่าน ผมมองเห็นแต่ถนนเส้นเล็ก ๆ ที่แทรกตัวเข้าไปในป่าผืนใหญ่ บริเวณป่าโดยรอบล้วนอุดมไปด้วยพืชฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง สีเหลือง และสีส้มเต็มไปหมด ผมเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางจนเมื่อรู้ตัวอีกทีผมก็มาถึงจุดหมายแล้ว

ผมยืนชื่นชมความโอ่อ่าของบ้านพักขณะที่คนขับรถกำลังยกกระเป๋าเดินทางมาส่งให้ผม บ้านมี 2 ชั้น ภายนอกของตัวบ้านมีเถาไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมอย่างสวยงาม การที่จะปลูกให้พืชเหล่านี้เติบโตโดยที่ไม่รกรุงรังนั้นทำได้ยาก แสดงว่าคนดูแลบ้านของที่นี่ต้องทำงานหนักเป็นแน่ ผมเดินชมสวนแสนสวยสักครู่ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้าน รถยนต์ที่ผมโดยสารมาเคลื่อนตัวกลับไปรอแขกคนอื่นที่บริเวณตีนเขาอีกครั้ง จากนั้นพ่อบ้านและคนรับใช้ที่มารับก็เชิญให้ผมไปพบกับเจ้าของงานเลี้ยง ซึ่งยืนรอแขก ณ โถงทางเข้าอยู่แล้ว

ฮาตาโอกะ ยูกิ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง จัดว่าเป็นชายที่บุคลิกภาพดีใช้ได้ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แม้จะให้บรรยากาศสบาย ๆ เหมือนมาพักผ่อน แต่ความสบาย ๆ แต่มีระดับของเขาท่ามกลางความโอ่อ่าใหญ่โตของที่นี่นั่นแหละที่ทำให้เขาดูน่าเกรงขามสมกับฐานะเจ้าบ้าน

ชายคนนี้เป็นเพื่อนกับมิคาโดะแน่ ๆ นักสืบเคยรับรองสถานะของสองคนนี้ให้ผมทราบเบื้องต้นแล้ว อย่างน้อยมิคาโดะคุงก็ไม่โกหกผมเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา ผมเอ่ยทักทายเขาพร้อมกับแนะนำตัวและชื่อแอคเคาท์ ฮาตาโอกะจำผมได้ทันที ก็แอคเคาท์และคำถามที่ผมตั้งกระทู้ยังใหม่มากสำหรับวงการนี้นี่นา เรายังเคยสนทนากันในบล็อกเรื่องคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการมองสินค้าย้อมแมวให้ออกอยู่เลย

ทั้ง ๆ ที่เราสนทนากันเพียงครู่เดียวผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าฮาตาโอกะเป็นคนฉลาด ไม่มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมมั่นใจว่าเขาต้องหลงรักเรื่องตื่นเต้นเป็นแน่ ผมสังเกตเห็นนัยน์ตาของเขาที่เป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อสบตาเข้ากับคนแปลกหน้าอย่างผม

จากประสบการณ์ที่ผมอ่านหนังสือแนวอัตชีวประวัติบุคคลสำคัญมามาก ความสามารถพิเศษของผมที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ คือ ผมสามารถแบ่งมนุษย์ได้เป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ มนุษย์ที่สามารถสบตาคนแปลกหน้าได้อย่างเปิดเผย และอีกประเภทคือบุคคลที่เลี่ยงการสบตากับคู่สนทนาเมื่อแรกพบเห็น แน่นอนว่าเจ้าบ้านคนนี้เป็นบุคคลจำพวกแรกแสดงว่าเขาต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูง ผมยังคงติดใจประกายตื่นเต้นในนัยน์ตาของเขาอยู่เลย ผมอยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนุกที่เขากำลังคิดอยู่ในใจกันนะ

เจ้าบ้านเอ่ยเสนอให้ผมไปพักผ่อนระหว่างที่รอให้ทุกคนมาถึง จะเดินเล่นหรือนอนพักในห้องนอนก็ได้ทั้งนั้น ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ แต่แล้วเขาก็เอ่ยไล่หลังผมมาว่าไวน์แดงรับรองในห้องสามารถดื่มได้เลย ถ้าไม่พอก็แจ้งพ่อบ้าน ผมได้แต่ยิ้มขัน นี่เขาคิดว่าผมเป็นหนุ่มเจ้าสำราญหรืออย่างไร

ระหว่างชายคนรับใช้เดินนำผมขึ้นมาบนชั้นสอง ผมสังเกตการตกแต่งภายในของตัวบ้านที่ล้วนแล้วแต่ประดับด้วยข้าวของราคาแพง มีบางจุดที่จัดแสดงสินค้าหายากเอาไว้ประปราย การตกแต่งเหล่านี้ที่ไม่ได้สร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับผู้อยู่อาศัยแต่กลับสร้างความสวยงามให้กับพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากกว่า รสนิยมการตกแต่งบ้านก็บ่งบอกถึงบุคลิกของเจ้าบ้านได้เหมือนกัน

เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือตรงกลางของอาคารเป็นพื้นที่โล่งซึ่งสามารถมองลงไปเห็นสวนในร่มที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีบริเวณชั้นหนึ่งได้ ห้องพักต่าง ๆ บนชั้นนี้จึงเหมือนกระจายตัวกันเป็นสีเหลี่ยมล้อมรอบสวนเอาไว้ ที่ผมสนใจคือแม้จะเป็นพื้นที่เปิดโล่งตรงกลาง เเต่เราก็ไม่สามารถมองเห็นห้องพักของฝั่งตรงข้ามได้ เพราะมีการตกแต่งโถงทางเดินให้รักษาความเป็นส่วนตัวและบรรยากาศที่โปร่งโล่งสบายได้อย่างลงตัว

ห้องพักของผมอยู่ด้านในสุด เมื่อเดินจากบันไดเข้าไปจะผ่านห้องพักอีกสามห้อง เท่าที่ผมสังเกตยังไม่มีใครเข้ามาพักในห้องเหล่านี้เลย คาดว่าพวกเขาต้องกำลังเดินทางอยู่เป็นแน่ แต่ถ้าเป็นอีกฝั่งที่เหลือล่ะก็ไม่แน่ ผมถามชายคนรับใช้เกี่ยวกับการจัดตำแหน่งห้องนอน

ชายคนรับใช้บอกว่า ที่นี่มีห้องพักจำนวน 7 ห้องสำหรับแขก 7 คน และอีก 1 ห้องพักใหญ่ที่จะเป็นห้องพักของเจ้าของบ้าน คุณฮาตาโอกะมอบให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าพ่อบ้านที่ต้องแบ่งโซนที่พักให้กับแขกสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ มีเพียงหนึ่งห้องซึ่งเป็นห้องของผมที่อยู่ตรงกลางระหว่างชายกับหญิง ผมไม่ติดใจเรื่องแบ่งโซนแต่อยากรู้มากกว่าว่ามิคาโดะคุงจะได้พักห้องไหน

ชายคนรับใช้ยังบอกอีกว่า ห้องพักของสุภาพบุรุษนั้นอยู่ถัดจากห้องของผมไปทางซ้ายมือ ห้องที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นห้องของเจ้าบ้าน เพราะลักษณะของประตูทุกห้องค่อนข้างเหมือนกัน ถ้าหากขึ้นบันไดมาแล้วเลี้ยวผิดไปทางซ้ายมืออาจทำให้เข้าผิดห้องได้ ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ผมบอกกับเขาว่าผมเป็นเพื่อนกับโคซากะ มิคาโดะ ได้ยินมาว่าเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้านด้วย ชายคนรับใช้บอกว่า รู้จักคุณมิคาโดะเป็นอย่างดี เขามาพักที่นี่ไม่บ่อยนัก แต่เมื่อมาที่นี่ก็จะใช้ห้องรับรองที่อยู่ข้างห้องพักของเจ้าบ้านเสมอ ผมยกยิ้มอย่างพอใจ ตอนนี้ผมได้คำตอบที่ต้องการแล้ว


เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่เด่นสะดุดตาในห้องพักของผมก็คงหนีไม่พ้นหน้าต่างบานใหญ่ที่ถ่ายทอดภาพทิวทัศน์ข้างนอกได้อย่างสวยสดงดงาม สีสันของฤดูใบไม้ร่วงในประเทศญี่ปุ่นช่างตระการตาไปด้วยสีส้ม เหลือง และแดงแซมกันไป อีกทั้งแมกไม้นานาพรรณก็ไม่ได้เบียดบังทัศนียภาพแนวเขาสูงใหญ่ซึ่งทอดตัวอยู่ไกล ๆ อีกด้วย ช่างเป็นสถานที่งดงามสมกับที่ผมตั้งตาคอยจริง ๆ ผมเหลือบเห็นไวน์แดงชั้นดีสำหรับต้อนรับวางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ไม่ผิดไปจากคำกล่าวของเจ้าบ้าน ทุกอย่างล้วนเตรียมเอาไว้อย่างเหมาะเจาะสำหรับการชมวิวจริง ๆ

ไม่สิ ผมไม่ควรที่จะมายืนมองทิวทัศน์ข้างทางอยู่เช่นนี้ ผมมีจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้อยู่นี่นา ผมควรจะต้องเริ่มลงมือได้แล้ว อันดับแรกผมคงต้องต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับเซอร์ไพรส์ที่ผมจะมอบให้ชายคนรักที่กำลังเดินทางมาถึง

หลังจากชายรับใช้ปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมได้พักผ่อนตามอัธยาศัย ผมก็เดินไปเปิดไวน์ชั้นดี แต่ไม่ได้นำมาดื่มหรอก มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำมากกว่าการนั่งจิบไวน์ยังไงล่ะ...


“ขอโทษนะครับ ผมขอยืมน้ำยาฟอกผ้าขาวกับน้ำยาล้างห้องน้ำได้หรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยทักชายรับใช้คนใหม่ที่เดินผ่านมาหน้าห้องพักของผมพอดี

“น้ำยาฟอกผ้าขาวกับน้ำยาล้างห้องน้ำหรือครับ” เขาเอ่ย

“ใช่ครับ ผมไม่ระวังเลยเผลอทำไวน์หกใส่เสื้อตัวเองน่ะครับ” ผมพูดพลางชี้ไปที่เสื้อสีขาวที่บริเวณอกซ้ายชุ่มโชกไปด้วยเหล้าองุ่นสีแดง

“แล้วน้ำยาล้างห้องน้ำ?”

“พอดีผมมีนิสัยเก่าที่แก้ไม่หายน่ะครับ ถ้าหากไม่ได้ใช้ห้องน้ำที่ตนลงมือล้างเองจะรู้สึกไม่ดีน่ะครับ กรุณาเข้าใจผมด้วยนะ” คำโกหกของผมดูสุดโต่งเกินไปหรือเปล่านะ

“แต่ว่าเจ้านายอาจจะเอ็ดผมได้ถ้าหากปล่อยให้แขกต้องลงมือล้างห้องน้ำเอง”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่บอกใครหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องเสื้อขาวก็กรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเถิดครับ”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ ผมขอแค่น้ำยาสองชนิดนี้ก็พอ” ผมเอ่ยพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้กับคนรับใช้หนุ่ม

“ถ้าอย่างนั้นกรุณารอสักครู่นะครับ” สีหน้าหวั่น ๆ ของคนรับใช้คนนั้นเป็นสิ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว ก็นิสัยแปลก ๆ ที่ผมกุขึ้นมามันช่างน่าสงสัยเสียนี่กระไร ใครมันจะโรคจิตขนาดไม่ยอมใช้ห้องน้ำหรือเสื้อผ้าที่ตนไม่ได้ทำความสะอาดเองกันล่ะ

“นี่ครับ อ้อ แล้วก็มีข้อควรระวังนะครับ อย่าผสมสารเคมีนี้เข้าด้วยกันเชียว ถ้าหากผสมสารสองตัวนี้เข้าด้วยกันแล้วทำปฏิกิริยาด้วยน้ำจะก่อให้เกิดสารพิษลอยขึ้นมาปะปนในอากาศ ถ้าเป็นในห้องแคบ ๆ ที่อากาศถ่ายเทไม่ดีอย่างห้องน้ำล่ะก็ อาจทำให้สำลักพิษจนเสียชีวิตได้ครับ” ชายรับใช้พูดขณะยื่นขวดน้ำยาทั้งสองชนิดมาให้ผม

“ผมทราบดีครับ ขอบคุณที่หวังดีนะ” ผมส่งรอยยิ้มจริงใจและน้อมรับความหวังดีที่ชายตรงหน้ามอบให้

“อย่าลืมเปิดพัดลมระบายอากาศที่อยู่ในห้องน้ำด้วยนะครับ”

“สวิตช์อยู่ตรงไหนเหรอครับ”

“ข้างสวิตช์ไฟหน้าประตูห้องน้ำเลยครับ”

“ขอบคุณมาก ๆ เลย ผมเข้าใจแล้ว”

เขาก้มตัวให้ผมครั้งหนึ่งแล้วก็เดินจากไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อ ผมยิ้มให้กับแผ่นหลังนั้นก่อนจะหันซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ผมเดินเลี้ยวไปอีกทางของบันไดตามคำเล่าของชายรับใช้คนก่อน ลักษณะประตูของห้องใหญ่และห้องขนาดรองแตกต่างจากห้องอื่น ๆ อย่างชัดเจน ผมมั่นใจว่ามิคาโดะต้องพักอยู่ที่ห้องนี้แน่ ๆ แล้วผมก็ผลักประตูเข้าไปในห้องอย่างอารมณ์ดี ในใจพลางขอร้องให้โชคชะตาอย่าให้มิคาโดะทำให้ผมผิดหวัง อย่าบังคับให้ผมต้องทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ แต่ว่า...นั่นก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขาแล้วล่ะ


เมื่อถึงเวลาอาหาร ผมอาบน้ำชำระความสกปรกและร่างกายที่อ่อนล้าก่อนจะรีบแต่งตัวด้วยชุดสุภาพสำหรับงานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มขึ้น ผมเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับส่งข้อความหามิคาโดะคุงทันที เขายังคงไม่อ่านข้อความของผมตั้งแต่ที่ผมบอกเขาไปว่าผมจะมาร่วมงานเลี้ยงแห่งนี้

ผมเริ่มร้อนใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป และแล้วผมก็ได้พบกับสิ่งที่ตัวเองกลัวมาตลอดสำหรับความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์


มิคาโดะคุงต่างจาก saGi4nE ที่ผมรู้จัก


ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีแดง รูปร่างสูงโปร่งทะมัดทะแมง ลักษณะภายนอกที่ดึงดูดสายตาของทั้งชายและหญิง ตรงกับภาพที่เขาเคยส่งมา แน่นอนว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่คุณนักสืบเอกชนส่งข้อมูลให้ แต่ลักษณะนิสัยของเขานั้นช่างต่างจากสุภาพบุรุษที่ผมเคยคุยด้วย ทั้งการพูดจา น้ำเสียง ท่าทางเย่อหยิ่ง และมักจะหงุดหงิดตลอดเวลานั่นช่างต่างจากผู้ชายละเอียดอ่อนที่ผมตกลงคบด้วย

เขาไม่แม้แต่จะเดินเข้ามาทักทายหรือพูดคุยกับผม ไม่แม้แต่จะชายตามองหรือตระหนักได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของผมด้วยซ้ำ ผมควรเดินเข้าไปคุยกับเขาซึ่ง ๆ หน้าแต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ ตอนนี้ชายตรงหน้าแทบจะเป็นคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักอีกแล้ว

ผมพยายามส่งข้อความหาเขาแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับ ผมไม่มีสมาธิดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศ เครื่องดื่มชั้นดี ไม่มีสติมากพอที่จะเพ่งพิจารณาของสะสมล้ำค่าด้วยซ้ำ ในสายตาของผมมีเพียงมิคาโดะคุงเท่านั้น ทำไมกัน แม้ตอนนี้ริมฝีปากของผมจะแย้มยิ้ม พลางทำท่าครื้นเครงไปกับบรรยากาศสบาย ๆ ของผู้คนที่มาที่นี่ด้วยความชื่นชอบเดียวกัน แต่ในใจของผมได้แต่ถามหาคำตอบกับมิคาโดะคุงว่า ทำไม ทำไม และทำไม

ผมบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างมิคาโดะกับเจ้าบ้านเรื่องของที่เตรียมไว้ ผมเดาว่าของที่เตรียมไว้นั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรอิกิ โฮชิ ชายหนุ่มผมสีดำท่าทางสุภาพที่ผมรู้ข้อมูลจากคุณนักสืบอยู่แล้วว่าเขาเป็นรูมเมทของมิคาโดะ


“...ลักษณะคำพูดที่เขาสนทนากับคุณผ่านช่องแชทล้วนแล้วแต่ ‘ปรุงแต่ง’ ขึ้นทั้งนั้น...”


ท่าทางของชายหนุ่มในสายตาของผมตอนนี้ยิ่งตอกย่ำคำพูดของนักสืบให้ผมไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป โคซากะ มิคาโดะ ไม่ใช่คนเดียวกับ saGi4nE จริง ๆ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่ยกเลิกสิ่งที่ผมได้ทำลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง


23.34 น. ‘มาเจอกันหน่อยได้มั้ย มิคาโดะคุง’


‘ได้’ 23.34 น.


‘มาที่ห้องฉันหลังจากนี้สามสิบนาที ถ้ามาไม่ถูกก็ถามพ่อบ้านเอาเอง’ 23.35 น.


ผมส่งข้อความไปหาเขาเป็นข้อความสุดท้าย ชายหนุ่มตอบผมกลับมาด้วยข้อความห้วน ๆ ก่อนจะลุกออกไปพร้อมกับรูมเมทเมื่อเจ้าบ้านที่เป็นคู่สนทนาฟุบหลับไป พวกเขาต้องตรงไปที่ห้องของมิคาโดะแน่ ๆ ผมได้ยินอย่างชัดเจนว่าพวกเขามีธุระที่ต้องจัดการเกี่ยวกับสิ่งของ เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงนาทีผมก็รีบปลีกตอนเดินตามไป ผมเกรงว่ารูมเมทผมสีดำของมิคาโดะจะทำให้แผนของผมพังโดยการเข้าไปในห้องน้ำที่ผมเตรียมเอาไว้ให้สำหรับคนรัก แต่เมื่อผมไปถึงหน้าห้องพักของมิคาโดะ ความกังวลเรื่องแผนการของผมก็มลายหายไป แผนของผมไม่มีทางผิดพลาดได้หรอก ไม่มีทาง


โคซากะ มิคาโดะ เลวกว่าที่ผมคิด


ท่ามกลางเสียงกุกกักและบทสนทนาที่ลอดผ่านช่องประตูออกมา ทำให้ผมแน่ใจเหลือเกินว่ายังไงมิคาโดะก็ต้องเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำ การกระทำเลวทรามของเขาจะต้องได้รับการสำเร็จโทษทันทีที่ชายคนนั้นก้าวพ้นประตูห้องน้ำไป เขาจะต้องได้รับบทเรียนจากการมาบดขยี้ความทรงจำที่ผมมีต่อ saGi4nE ที่ผมรัก มันจะต้องได้เรียนรู้ในสิ่งที่มันทำลงไป

เสียงสนทนาเงียบลงไปแล้ว ตอนนี้ในห้องนั่นมีแต่เสียงหอบหายใจถี่ ๆ ของมิคาโดะ ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำดังแว่วมาจากข้างใน ผมหมุนลูกบิดเข้าไปในห้องนอนอย่างไม่ติดขัดราวกับเจ้าของห้องกำลังต้อนรับการมาของผม มิคาโดะคงคิดว่าตัวเองจัดการอะไรได้รวดเร็วก่อนที่ผมจะมาถึง แต่เขาไม่รู้ว่าผมต่างหากที่มาถึงห้องนี้ก่อนเขา มาโขทีเดียว

นานมากพอที่ผมจะมีเวลาเหลือเฟือในการผสมสารพิษแล้วซ่อนมันเอาไว้ในท่อระบายน้ำกับป้ายเอาไว้บนพื้นอ่างอาบน้ำก่อนที่เขาจะมาถึงบ้านพักตากอากาศนี่เสียอีก

ผมเดินผ่านร่างไร้วิญญาณของเรอิกิ โฮชิที่นอนอยู่บนเตียง สภาพชุ่มโชกของเลือดแดงฉานย้อมเตียงนอนสีขาวให้กลายเป็นสีชาดแห่งโลหิต ผมเอื้อมมือไปยกเก้าอี้ที่มีพนักพิงมาวางขัดไว้กับลูกบิดประตูห้องน้ำ เอื้อมมืออีกข้างไปปิดสวิตช์พัดลมระบายอากาศ เอาเสื้อผ้าของชายหนุ่มที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางมาอุดที่ช่องใต้ประตู

เสียงน้ำไหลจากก็อกและฝักบัวทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ที่เหลือ ผมก็แค่รอเวลาเท่านั้น...



แกร๊ก แกร๊ก


ปัง ปัง ปัง !


“โธ่เว้ย ใครอยู่ข้างนอกวะ แม่ง แค่ก เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย เอาของที่ขวางประตูออกไปซะ แค่ก ๆ”


เสียงหายใจหอบถี่ ๆ เเละคำพูดร้อนรนดังออกมาจากห้องน้ำที่ถูกปิดตาย เเต่ตอนนี้ผมยืนจดจ้องบานประตูสวยพร้อมกับหอบหายใจเอาอากาศที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้าไปอย่างใจเย็น อากาศในห้องน้ำคงอบอวลไปด้วยสารเคมีที่กัดกร่อนทั้งร่างกายเเละจิตใจของหมอนั่น ผมได้แอบเข้ามาเตรียมสารฟอกขาวเเละน้ำยาล้างห้องน้ำเอาไว้ตั้งเเต่ก่อนที่ชายตรงหน้าจะรู้ตัว เมื่อเขาเปิดน้ำในห้องน้ำ สารเคมีทั้งสองตัวจะเริ่มทำปฏิกิริยาเเล้วส่งก๊าซพิษลอยขึ้นมาเสียดทั้งผิวกายเเละลมหายใจ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางก๊าซเหล่านั้นมันจะเริ่มกัดกร่อนผิวหนัง ดวงตา เเล้วก็เสียดเเทงเข้าไปทุกอณูของลมหายใจ เสียงทุบประตูอย่างร้อนรนนั่นเป็นหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าสารเคมีได้เริ่มทำงานเเล้ว

นายกำลังทรมานอยู่สินะมิคาโดะคุง


ปัง ปัง ปัง !


"แฮ่ก แค่ก ๆ เปิดประตูเดียวนี้เลย!!" มิคาโดะยังคงตะโกน ผมอดนึกสมเพชเขาไม่ได้

"หืม? ก็มิคาโดะเป็นคนไม่ดีนี่นา" ผมเอ่ยขึ้นจากอีกฝั่งของประตู ดูท่าเขาจะชะงักไป

"หลอกผมตั้งหลายอย่าง เเต่ผมก็ยังใจดีกับมิคาโดะคุงนะ ดูสิ ผมมาตามนัดตรงเวลาด้วยนะ" ผมเอ่ยพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ นิสัยเสียที่ชอบยิ้มในสถานการณ์เลว ๆ นี่เเก้ไม่ได้สักที

“ฮิโรกิ แค่ก ๆ นายมาช่วยฉันสินะ เปิดประตูให้ฉันเร็วเข้า” น้ำเสียงของมิคาโดะดูมีความหวังขึ้นมา ท่าทางเขาจะรู้เเล้วว่าผมเป็นใคร

“ช่วยสิ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ

“ช่วยให้มิคาโดะคงไม่ต้องไปหลอกคนอื่นอีกไง”

ไม่มีเสียงตอบรับจากชายที่กำลังทรมานจากสารพิษ ดูท่าเขาคงจะอ่อนเเรงเต็มที ผมเพิ่งรู้ว่าการทรมานคนอื่นด้วยคำพูดมันสะใจอย่างนี้นี่เอง มิคาโดะจะรู้สึกอย่างนี้ไหมหนอ ตอนที่เขาล้อเล่นกับความรู้สึกของผมผ่านช่องเเชท

“ผมคงเปิดประตูให้คุณไม่ได้หรอก ก็ผมเป็นคน ‘ขัง’ คุณไว้เองนี่นา เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าใกล้จะตาย จู่ ๆ ความทรงจำเก่า ๆ ก็พุ่งเข้ามาเล่นงานผม

“มิคาโดะคุณรู้ไหม ผมรักคุณมากนะครับ ผมจริงจังกับความรักครั้งนี้ และยอมทุ่มเทให้คุณหลายอย่างเลย แต่คุณกลับหลอกผม หลอกผมอย่างสนุกสนานเอาเงินที่ผมหามาไปใช้เที่ยวเล่น คุณเหยียบย่ำหัวใจผม” ผมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งเพื่อเป็นการเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายกับเขา


“ต่อไปก็จะไม่มีใครเป็นเหยื่อของคุณอีกเเล้ว...ลาก่อนนะ มิคาโดะคุง

มิคาโดะเเน่นิ่งไปแล้ว ผมมั่นใจว่าคนตรงหน้าต้องตายไปแล้วเเน่ ๆ มือสั่นเทาของผมจัดการดึงเก้าอี้ที่ขัดลูกบิดประตูออก เมื่อเปิดประตูกลิ่นสารเคมีเข้มข้นที่อบอวลอยู่ในห้องน้ำก็ระบายออกมาทันทีดีที่หน้าต่างของห้องพักนี้เปิดทิ้งเอาไว้อยู่เเล้วทำให้ผมไม่ได้ทรมานจากสารพิษไปอีกคน เมื่อผมเพ่งมองร่างไร้วิญญาณของคนตรงหน้าดี ๆ ตอนนี้มิโคโดะคุงก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่นอนหลับไป

ร่างกายของเขาขึ้นสีแดงเรื่อจากสารเคมีที่กัดผิว ต้องยอมรับว่าผิวสีแดงนั่นเข้ากันได้ดีกับผมสีแดงของเจ้าตัวมาก แม้แต่ตอนตายเขาก็ยังงดงาม ผมเอื้อมมือบางไปสัมผัสใบหน้าคมคายที่เคยมีรอยยิ้มเจิดจ้า ตอนนี้ใบหน้าของเขาเฉยชา ไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้ว

ดีแล้วล่ะ ต่อไปมิคาโดะคุงจะได้ไม่สามารถส่งยิ้มให้ใครอีก และคุณก็จะได้ไม่สามารถยิ้มเย้ยหยันลับหลังผมได้ด้วย

ถ้าหากเหลียวไปที่กระจกบานใหญ่ที่สะท้อนสีหน้าของผมอยู่ในตอนนี้ ผมคงได้พบกับตัวเองที่กำลังส่งสายตาปราณีที่สุดเท่าที่ชายคนหนึ่งจะมอบให้แก่ร่างไร้วิญญาณของอดีตคนรักได้


“ในที่สุดเราก็เลิกกันสักที หลับให้สบายนะ มิคาโดะคุง”


ผมหันหลังให้กับร่างของมิคาโดะ ก้าวผ่านร่างไร้วิญญาณของเรอิกิ โฮชิ ตอนนี้ตัวผมไม่ใช่ นางาซาวะ ฮิโรกิ คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เมื่อก้าวพ้นจากประตูห้องพักนี้ไป ผมจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ที่ละเลยต่อเหตุการณ์ฆาตกรรมหรือแม้แต่เป็นฆาตกรที่ก่อเหตุเสียเอง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว ต่อให้ผมต้องเน่าตายในคุกไม่ว่ายังไงผมก็จะชำระความแค้นที่มิคาโดะได้กระทำต่อผมเอาไว้ให้ได้

อีกนิดผมก็จะเป็นอิสระต่อความสัมพันธ์อันน่าสะอิดสะเอียนของพวกเราเเล้ว ผมเบื่อความสัมพันธ์เเบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เเบบนี้เต็มทน

.

.

.

ฉึก!!


เสียงใบมีดกรีดผ่านอากาศเข้ามาเสียบเเทงที่ร่างกายของผมโดยที่ยังไม่ได้ตระเตรียมใจมากก่อน วินาทีที่ผมตระหนักได้ถึงใบมีดคมกริมที่เสียดแทงเข้ามาที่สีข้างด้านขวา ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาราวกับโดนสายฟ้าที่มองไม่เห็นฟาดแสกหน้า มือของผมที่เอื้อมมากุมแผลสดสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาจากปากเเผลตามจังหวะที่ผมหายใจเข้าออก

ร่างของผมทรุดลงที่โถงทางเดินหน้าห้องนอนของอดีตคนรัก สายตาของผมเริ่มพร่าเลือน หูก็เริ่มอื้อราวกับโลกทั้งใบเงียบเสียงลงชั่วขณะ จู่ ๆ หญิงสาวที่ผมไม่รู้ว่าเคยไปสร้างความแค้นไว้ให้เธอตอนไหนก็ลงมือทำร้ายผมต่อหน้าต่อตา ผมควรโวยวายหรือทำร้ายร่างกายของเธอโต้ตอบเพื่อป้องกันตัว แต่ในใจลึก ๆ ของผมกลับไม่อยากทำแบบนั้น ในตอนที่มิคาโดะกำลังจะตายเขารู้สึกแบบเดียวกับผมหรือเปล่านะ ริมฝีปากของผมยกยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ นิสัยเก่าที่แก้ไม่หายสักทีทำให้ผมกลับกลายเป็นคนใกล้ตาย คล้ายกับคนที่มีความสุขที่สุดในโลก


‘รอยยิ้มของนายอบอุ่นเหมือนเเมวนอนอาบเเดดในวันท้องฟ้าสีครามเลย’ 23.24น.


ผมเกลียดรอยยิ้มของผม ผมเกลียดที่ข้อความของเขามีอิทธิพลต่อผม ผมเกลียดที่แม้ตอนที่ตัวเองใกล้ตายก็ยังไม่วายคิดเขา saGi4nE ผมกำลังจะไปหาคุณในนรกแล้ว...



- จบคดีฆาตกรรมราตรีสีชาด ศพที่ 4 -



 

ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านผลงานของเนย์นะคะ เพื่อน ๆ สามารถอ่านซีรี่ย์ bloody Party คดีฆากรรมราตรีสีชาดศพอื่น ๆ จากเพื่อน ๆ นักเขียนของดันพาวนได้ที่นี่เลยค่ะ


dominique


Pakkrad

LALYNN

LACEY


moonmay


movetomoon

Laikram


เเล้วเจอกันใหม่นะคะ :]



85 views0 comments

Comments


bottom of page