top of page

Interview : MovetoMoon My idol my move!!

Updated: Oct 20, 2021


MovetoMoon

My idol my move!!

 
“ไอดอลไม่จำเป็นต้องเท่ อย่าคาดหวังให้เขาดี 100% ไอดอลก็ทำผิดได้ วิจารณ์ได้ เเตะต้องได้”

ในกลุ่มเพื่อนจะต้องมีสักคนที่เป็นเหมือนศูนย์กลางยึดเหนี่ยวเพื่อน ๆ เอาไว้ใช่ไหมล่ะคะ ในมุมมองของเรา ‘มูฟทูมูน’ คนนี้ก็เป็นเพื่อนในไทป์เเบบที่เรากล่าวไปเลยค่ะ เธอทั้งอัธยาศัยดี มีอารมณ์ขัน มีภาวะความผู้นำสูง เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ จริงใจที่จะช่วยเหลือหรือให้คำเเนะนำกับทุกคนเสมอ เเละที่สำคัญ เธอเป็นคนที่กล้าคิดกล้าเเสดงออก มูฟทูมูนพร้อมนำเสนอความเป็นตัวเองให้โลกได้รับรู้ เราบอกได้เลยว่ากรอบหรือขนบธรรมดาไม่เคยฉุดรั้งเธอคนนี้เอาไว้ได้ จะมีนิสิตสักกี่คนที่สอบหัวข้อประวัติศาสตร์การเล่านิทานด้วยการพาเพื่อน ๆ เเสดงละครจำลองการเดินชมพิพิธภัณฑ์โบราณ มันทั้งสร้างสรรค์ ดึงดูดความสนใจ เเละเนื้อหาที่ถ่ายทอดก็ครบถ้วนไม่ตกหล่น การสอบของเพื่อนครั้งนั้นนอกจากจะทำให้เราที่นั่งเป็นผู้ชมได้รับความรู้ เเละทำให้การมองโลกของการนำเสนองานของเราเปลี่ยนไปด้วย


‘นักสร้างคอนเทนต์ในกลุ่มเพื่อน’ เป็นคำจำกัดความที่ไม่เกินจริงเลยสำหรับเธอคนนี้ ทุกคนต้องอยากรู้จักมูฟทูมูนเเล้วใช่ไหมล่ะคะ ตัวเราที่เป็นเพื่อนกับเธอมานานก็อยากรู้จักเธอมากขึ้นเหมือนกัน ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้สัมภาษณ์เพื่อนของเราในหัวข้อ “บุคคลที่เป็นไอดอล” แน่นอนว่าเป้าหมายของการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คือ เราจะมาทำความรู้จัก Movetomoon เกี่ยวกับมุมมองบุคคลที่เป็นไอดอลของเธอกัน ซึ่งคำตอบที่ได้รับนั้นสร้างความประหลาดใจให้เราเป็นอย่างมาก เพราะไอดอลของเธอคนนี้คือเด็กหญิงอายุ 13 ปีเท่านั้น เราเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยได้ยินเชื่อเสียงของเด็กหญิงชาวยิวคนนี้มาก่อน เราไปติดตามเเนวคิดของมูฟทูมูนที่ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากเด็กหญิงคนนี้กันเลยค่ะ


“ไอดอลที่มีอิทธิพลต่อเเนวคิดของเรามาก คือ เเอนน์ เเฟรงค์”

มูฟทูมูนเล่าให้เราฟังว่าตัวเธอเป็นคนที่ไม่มีไอดอลในการดำเนินชีวิตเลย เเต่ถ้าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อเเนวคิด เธอยกให้เเอนน์ แฟรงค์ หนูน้อยชาวยิวอายุ 13 ปีที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการนำเอาเเนวคิดของเด็กหญิงในบันทึกมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ตั้งเเต่เด็ก มูฟทูมูนเป็นคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ เธอชอบศึกษาเกี่ยวกับสงคราม เเละชอบเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ตั้งเเต่ชั้น ป. 4 ก็ได้มีโอกาสอ่านบันทึกก้องโลกของเเอนน์ เเฟรงค์ในรูปแบบหนังสือการ์ตูน ทำให้นับจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็นำเอาเเนวคิดเเละเรื่องราวของเด็กหญิงชาวยิวคนนี้มาปรับใช้ในการการใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบัน


“แอนน์ เเฟรงค์ มีส่วนที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้”

มูฟทูมูนได้เเบ่งปันเรื่องราวของเธอให้เราฟังว่า เธอเองก็เคยมีช่วงเวลา “ไร้ซึ่งเเรงจูงใจในการใช้ชีวิต” ชีวิตของเธอเคยวางอยู่ในจุดที่ไม่ยี่หระกับความตายที่อาจมาถึงในวันนี้หรือวันหน้า แต่เเอนน์ เเฟรงค์ได้ก้าวเข้ามาทำให้มูฟทูมูนรู้สึกว่า “เราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเเค่ให้รู้ในวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น”



การอ่านบันทึกของใครสักคน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรากำลังทำความรู้จักกับเจ้าของบันทึก เด็กหญิงชาวยิววัย 13 ปี ได้เผยตัวตนของเธออย่างจริงใจผ่านบันทึกจนคนอ่านที่อยู่คนละยุคกับเธอสัมผัสได้ เเละนำเเนวคิดของเด็กหญิงชาวยิวคนนี้มาผสานกับเเนวคิดของตัวเองเข้าไป หล่อหลอมให้เป็นตัวตนของ ‘มูฟทูมูน’ ที่เป็นเธอในวันนี้ มูฟทูมูนเป็นหนึ่งในนักอ่านทั่วโลกที่สัมผัสได้ถึงนัยยะของการมีชีวิตที่ซ่อนอยู่ในบันทึกเล่มนั้น ซึ่งเเสดงให้เห็นถึงพลังของวรรณกรรมที่สามารถส่งต่อความหวังแห่งการมีชีวิตจากเด็กหญิงคนหนึ่งในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปสู่เด็กหญิงอีกคนหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบันได้


“ในบันทึกของเเอนน์ เเฟรงค์ก็เหมือนมีใจความที่ทำให้เราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อเเค่ให้รู้ว่าในวันพรุ่งนี้โลกจะเกิดอะไรขึ้น บางทีพรุ่งนี้โลกอาจจะไม่เหมือนเดิมเเล้วก็ได้”

แอนน์ แฟรงค์ในมุมมองของมูฟทูมูนคือเด็กหญิงที่มองอนาคต ตอนที่เกิดเรื่องเเย่ ๆ กับเด็กหญิง อย่างเหตุการณ์การกวาดล้างชาวยิวที่เธอต้องหนีไปหลบซ่อน เด็กคนนี้ก็ยังมอบความหวังฝากไว้ในหนังสือ ต่อให้โลกจะเเย่สักเท่าไรเเต่เราก็ต้องมีความหวังเสมอ


“เราไม่ได้มองชีวิตยาวไกลไป 10-20 ปี เราเลยมองโลกยังไงก็ได้ให้สั้นที่สุด”

มูฟทูมูนเผยว่าเธอมองชีวิตเป็นพีเรียดหรือช่วงเวลา เธอไม่คาดหวังที่จะค้นพบตัวเองใน 10-20 ปีข้างหน้า เเต่เธอตั้งตารอที่จะพบกับตัวเองในหนึ่งหรือสองเดือนข้างหน้าเท่านั้นเอง ไม่เชิงใช้ชีวิตเเบบไม่วางเเผน เเต่เธอกำลังใช้ชีวิตเเบบที่ไม่ต้องกดดันให้ตัวเองทำตามเเผนที่วางไว้ เเต่มองความสำเร็จในรูปแบบของระยะสั้น ๆ มากกว่า เหมือนที่เเอนน์ เเฟรงค์กำลังตั้งตารอให้ผ่านพ้นวันนี้ไปให้ได้เเละตั้งตารอวันพรุ่งนี้อย่างมีความหวัง

แอนน์ เเฟรงค์เป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าสงครามคืออะไร แต่เธอคิดทุกวันว่าสักวันหนึ่งสงครามจะจบลง ซึ่งมันน่าสะเทือนใจตรงที่ว่า ความจริงแล้วเธอเสียชีวิตในค่ายกักกันช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม หลังจากนั้นไม่นานเยอรมันก็ประกาศถอนตัวจากสงคราม โลกได้สูญเสียเด็กหญิงมากควาสามารถเเละครอบครัวไป มีเพียงพ่อของเธอเท่านั้นที่รอดชีวิตเเล้วนำบันทึกของเด็กหญิงมาตีพิมพ์เพื่อให้คนได้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม

มองง่าย ๆ คือแอนน์ แฟรงค์เป็นเด็กไม่ชอบทะเลาะ เด็กที่ไม่ชอบการต่อยตี วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ส่งผลถึงชีวิตประจำวันของเรามาก ๆ ทั้งเเนวคิด การดำเนินชีวิต ถ้าย้อนกลับไปในวัยเท่าเเอนน์ เเฟรงค์ มูฟทูมูนคิดว่าในวัยนั้นทุกคนจะต้องพบจุดเชื่อมโยงที่คล้ายกันกับลักษณะนิสัยหรือเเนวคิดที่เเอนน์ เเฟรงค์ได้บันทึกไว้ในเล่ม มูฟทูมูนเองก็ยอมรับว่าวัยเด็กของเธอน่าจะคล้ายกับเอนน์ เเฟรงค์ไม่น้อย มันคือจุดร่วมที่เด็กในช่วงวัยดียวกันเท่านั้นที่จะเข้าใจ



จากการพบหนังสือชุดบันทึกลับของเเอนน์ เเฟรงค์ ฉบับการ์ตูนของญี่ปุ่น แปลโดย อังคณา รัตนจันทร์ เข้าโดยบังเอิญ กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวของเด็กหญิงในบันทึกกลับตรึงตราเพื่อนของเราคนนี้ไว้อยู่หมัด มูฟทูมูนจึงอย่างเเชร์หนังสือเล่มนี้ให้กับนักอ่านรุ่นเยาวน์ทั้งหลาย เเต่เธอยังเสริมอีกว่าบันทึกลับของเเอนน์เเฟรงค์เล่มต้นฉบับ ยังไงก็ยังคงเป็นวรรณกรรมที่ทั้งโลกควรอ่าน

มูฟทูมูนยืนยันว่าเธอไม่เหมือนกับเเอนน์ เเฟรงค์ ในเเง่ของการใช้ชีวิต เธอกล่าวว่า “เราเคยจดบันทึกได้ 3-4 วันเเล้วก็เลิก เหนื่อย ไม่ตอบโจทย์ การมีไอดอลไม่ได้หมายถึงการเป็นเหมือนเขา 100% ไม่ได้นำเขามาเป็นต้นเเบบให้เราทำทุกอย่างตาม เเอนน์ เเฟรงค์รักเด็กด้วยเเต่เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่คนแบบนั้น”

สุดท้ายมูฟทูมูนอยากฝากถึงนักอ่านทุกท่านว่า ทุกคนล้วนมีไอดอลประจำตัวที่ส่งผลต่อเเนวคิดของเราในชีวิตประจำวัน เเต่ไม่ต้องเขินถ้าไอดอลของเราไม่เท่ เรามีไอดอลในดวงใจได้เเต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะเป็นคนดีตลอดเวลา เราควรรักในสิ่งที่เราโอเคเเล้วใช้วิจารณญาณกับมันเยอะ ๆ เมื่อไอดอลของเราทำผิดเราก็ควรที่จะวิจารณ์ได้ไม่จำเป็นต้องยกเขาไว้บนหิ้งขนาดนั้น

เราเห็นด้วยกับมูฟทูมูนที่ไอดอลเองก็มีชีวิตของตัวเอง เราสามารถนำบุคคลเหล่านั้นมาใช้เป็นเเนวทางในการใช้ชีวิตได้ตราบใดที่เราไม่ได้คาดหวังจนมันกลายเป็นน้ำหนักที่กดทับให้บุคคลเหล่านั้นต้องปฏิบัติตนอยู่ในร่องในรอยที่เราคาดหวังให้เขาเป็น เป็นตัวเราเองที่ควรใช้วิจารณญาณในการปฏิบัติ เเละจากบทสัมภาษณ์มูฟทูมูนอาจกล่าวได้ว่า เราก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวคล้ายกับไอดอลที่เรานับถือ อย่างมูฟทูมูนที่ไม่ใช่คนชอบจดบันทึกทั้ง ๆ ที่มีเเอนน์ เเฟรงค์ เป็นไอดอล ดังนั้นเราต้องเเยกให้ออกว่าเรามีชีวิตของเรา ไอดอลเองก็มีชีวิตของเขา หน้าที่ของเราคือการพยายามทำความรู้จักเเละเปิดใจยอมรับคนที่เรายึดเขามาเป็นเเรงบันดาลในการใช้ชวิตต่างหาก

ดังนั้น ไหน ๆ เราพูดถึงไอดอลที่เพื่อนเราชื่นชอบเเละมีอิทธิพลต่อเธออย่างมากเเล้ว เพื่อน ๆ นักอ่านที่ติดตามบทสัมภาษณ์มาจนถึงตรงนี้ไม่อยากรู้จักเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทำให้มูฟทูมูนเป็นเธอในเเบบทุกวันนี้เลยหรือ

เราอยากชวนให้ทุกคนมาอ่านวรรณกรรมเรื่อง บันทึกลับของเเอนน์ เเฟรงค์ เด็กหญิงคนนี้เป็นเเรงบันดาลใจให้กับเพื่อนของเรา เเละเราก็เชื่อว่าเด็กหญิงคนนี้ต้องมีอิทธิพลต่อใจของใครอีกหลาย ๆ คนอย่างเเน่นอน ไม่เเน่ เเอนน์ เเฟรงค์ อาจกลายเป็นไอดอลคนถัดไปของคุณ



 

ข้อมูลลอ้างอิง


ติดตามอ่านผลงานของ MovetoMoon



64 views0 comments
bottom of page