Disney song พร่องมันเนย คือความกลมกล่อมของเพลงที่ผสานให้ดิสนีย์มีฐานผู้ชมเหนียวเเน่นตลอดกาล ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทเพลงของดิสนีย์มีบทบาทสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติมโตขึ้นได้จากภาพยนตร์แอนิเมชันหรือการ์ตูนที่ชอบ เเต่ความตราตรึงของดิสนีย์ไม่ได้ประสบความสำเร็จเเค่ในเเง่ของตัวเลขสถิติของยอดการเข้าชมภาพยนตร์เมื่อเปิดตัว เเต่ดิสนีย์ยังประสบความสำเร็จในมิติของการที่ฐานเเฟนคลับเก่าไม่เคยเดินจากไปไหนเเละเหล่าผู้ชมตัวน้อยคนใหม่ก็พร้อมที่ก้าวเข้ามาสำรวจโลกเเห่งจินตนาการของดิสนีย์เช่นกัน
คำกล่าวที่ว่า “ชีวิตวัยเด็กถูกเติมเต็มได้ด้วยโลกเเห่งจินตนาการ” ค่อย ๆ สร้างพื้นที่ในใจของผู้ชมตัวน้อยและเติมเต็มโลกแห่งจินตนาการที่เด็ก ๆ ใผ่ฝัน ทำให้ดิสนีย์ไม่เคยตายไปจากใจของใครหลาย ๆ คน เเล้วเหตุผลที่ทำให้ดิสนีย์ครองใจเเฟน ๆ ทั้งเก่าเเละใหม่ได้อยู่หมัดคืออะไร คำตอบหนึ่งที่ซ้อนทับอยู่ในความซับซ้อนเรื่องรสนิยมความชอบภาพยนตร์แอนิเมชันค่ายวอลต์ดิสนีย์ของใครหลาย ๆ คน อาจนึกถึง Disney song หรือบทเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์ นั่นเอง ซึ่งบทเพลงของดิสนีย์ไม่ได้มีดีเเค่ความไพเราะ เเต่มันคือองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวที่ดิสนีย์สร้างขึ้นมานั้นมีสีสัน กลมกล่อม ติดหู เเละสถิตอยู่ในใจใครหลาย ๆ คน
เมื่อพิมพ์คำว่า disney ในช่องการค้นหาของเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง youtube คำว่า disney song จะต้องเป็นอีกคำที่ปรากฏขึ้นมาบนแถบตัวเลือกของการค้นหาให้ผู้ชมไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์อีกต่อไป จุดเล็ก ๆ นี้เเสดงให้เห็นว่า “คำเกี่ยวข้อง” ที่กูเกิลเสนอเป็นตัวเลือกให้กับผู้ใช้ก็สามารถสะท้อนถึงอิทธิพลบทเพลงของดิสนีย์ที่ไม่เคยตายไปจากใจผู้ที่เคยรับชมผลงานของค่ายวอลย์ดิสนีย์เลยแม้เเต่ครั้งเดียว
ถ้าหากให้ยกตัวอย่างเพลงเพราะ ๆ จากค่ายภาพยนตร์แอนิเมชันวอลต์ดิสนีย์ที่ทุกคนคุ้นเคย คำร้องเเละท้วงทำนองจากเพลง let it go ที่ประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Frozen (2013) จะต้องเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ใครหลาย ๆ คนจะต้องจดจำได้อย่างเเน่นอน
ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่่อง Frozen (2013) ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยเฉพาะซิงเกิลเพลง let it go ที่ได้รับการเเปลเนื้อร้องประกอบภาพยนตร์กว่า 41 ภาษาทั่วโลก การประสบความสำเร็จนี้เเสดงให้เห็นถึง “ธรรมชาติของบทเพลง” อันเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการสร้างความเพลิดเพลินเเละง่ายต่อการจดจำ เพราะเมโลดีที่เเสนไพเราะ เนื้อหาของเพลงที่มีความคล้องจอง ทุกองค์ประกอบล้วนสร้างให้บทเพลงหนึ่ง ๆ สถิตอยู่ในใจของผู้คนอย่างไม่อาจเสื่อมคลายได้ ยิ่งบทเพลงที่ผนึกกำลังมานำเสนอพร้อมกับภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามอันเป็นจุดเเข็งของดิสนีย์แล้ว ยิ่งทำให้ผู้ชมที่เเม้ว่าจะดูภาพยนตร์จบไปนานเเล้วก็สามารถนึกถึงบรรยากาศของเรื่องที่ซึมลึกลงไปในจิตใจของผู้ชมได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ฟังบทเพลงของดิสนีย์อีกครัั้งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม บทเพลงเหล่านั้นจะพาผู้ฟังกลับไปรื้อเอาความทรงจำ ความสุข ความเศร้า เเละเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ให้ย้อนกลับ เสมือนว่าจิตใจของเราได้ “capture ภาพถ่ายความทรงจำ” ในช่วงเวลานั้น ๆ เเล้วเก็บซ่อนมันไว้ในบทเพลงตลอดมา รอวันให้ความทรงจำปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกกระตุ้นโดยเมโลดีที่เเสนคุ้นเคยซึ่งลอยมากระทบกับโสตประสาทการรับรู้อย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้นจึงไม่เเปลกใจเลยที่ภาพยนตร์จากค่ายแอนิเมชันหลาย ๆ ค่ายถึงพยายามสอดเเทรกบทเพลงอันไพเราะที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ในเรื่อง วอลต์ดิสนีย์ไม่ใช่ค่ายเดียวที่รับรู้ถึงอิทธิพลของเพลง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนเเก่นของเรื่อง ตัวตนของตัวละครผู้ขับร้อง เเละความหมายเเฝงต่าง ๆ ที่ชวนให้ผู้ชมตีความกันได้ไม่รู้จบ ค่ายผู้ผลิตสื่อทั้งในอดีตเเละปัจจุบันต่างก็นำเอาข้อดีของเพลงเหล่านี้มาประกอบสร้างสื่อ ทำให้สิ่งที่ผู้สร้างต้องการถ่ายทอดส่งไปถึงผู้ชมอย่างง่ายดายมากขึ้น เเล้วยังทรงพลังขนาดที่สามารถสร้างกระเเสไวรัลทั้งในโลกออนไลน์เเละในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อีกด้วย
ตัวผู้เขียนเองยังคงเชื่อใน Soft power ของสื่อบันเทิงที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้เสพสื่อ และวอลต์ดิสนีย์ก็เป็นค่ายสื่อบันเทิงที่รู้จักตัวตนของตัวเองดีที่สุดค่ายหนึ่ง ดังนั้นเราจึงเชื่อเสมอว่าบทเพลงของดิสนีย์ไม่เคยมีดีเเค่ความไพเราะ เเละคำว่า “บังเอิญ” ใช้ไม่ได้ผลกับคนที่เจนจัดในตลาดสื่อบันเทิงอย่างวอลต์ดิสนีย์ แน่นอนว่าผู้ผลิตสื่อที่ประสบความสำเร็จระดับโลกย่อมมีกลวิธีการเเสดงถึงจุดยืนที่ตนต้องการถ่ายทอดออกมาอย่างแนบเนียน เเละเมื่อพิจารณาถึงพัฒนาการผลงานของค่ายวอลต์ดิสนีย์ในยุคบุกเบิกอุตสาหกรรมแอนิเมชัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเปรียบเทียบภาพลักษณ์ของตัวละครนำหญิงที่ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Little Mermaid (1989) กับ Frozen (2013) ย่อมมองเห็นความแตกต่างของเนื้อหาที่ดิสนีย์สอดเเทรกเข้ามาอย่างแนบเนียนซึ่งกว่าจะรู้ตัวผู้ชมก็ถูกอำนาจกล่อมเกลาที่มองไม่เห็นหลอมสร้างตัวตนของผู้รับสาส์นทางเดียวขึ้นมาไปแล้ว
ดิสนีย์ที่มีจุดเเข็งคือการ “พยายามผลิตสื่อที่ใคร ๆ ก็ดูได้” จึงใช้จุดนี้ทำให้ผู้ชมอย่างเรา ๆ ที่มองย้อนกลับไปถึงเส้นทางที่ดิสนีย์เคยเดินผ่านมา จะเห็นว่าดิสนีย์เองก็กำลังพยายาม “เติบโตไปพร้อมกันกับผู้ชม” ความพยายามสร้างสื่อที่ตอบโจทย์ทั้งฐานเเฟนคลับเดิมที่นับวันก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กับการพยายามสร้างฐานเเฟนคลับใหม่ที่อายุยังน้อยในเวลาเดียวกัน ทำให้การปรับตัวของดิสนีย์เป็นการผสานความลงตัวของความสนุกเพลิดเพลิน เเละเเก่นของเรื่องที่ซ่อนนัยยะบางอย่างเอาไว้ให้ผู้ชมได้ขบคิด เมื่อผู้ชมได้ย้อนกลับมาวิเคราะห์รายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในเรื่องก็จะจุดประเด็นใหม่ ๆ ให้แฟน ๆ ของค่ายแอนิเมชันค่ายนี้ได้ประหลาดใจจนหนีไปไหนไม่รอด ตัวเชื่อมประสานที่ดิสนีย์ใช้ได้ผลตลอดมาก็คือบทเพลงอันไพเราะ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดิสนีย์ขาดไม่ได้เลย
นอกจากนี้บทเพลงยังไม่ได้สร้างเเค่ความคุ้นเคยเเต่ยังเป็นสื่อที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย การสร้างรอยประทับในดวงใจของผู้ชมจากบทเพลงค่ายวอลต์ดิสนีย์ก็สะท้อนออกมาผ่านผู้ผลิตสื่อรุ่นใหม่ที่พยายามคิดต่อยอดจากบทเพลงดั้งเดิมซึ่งดิสนีย์เป็นเจ้าของต้นฉบับ เช่น เพลงดิสนีย์โคฟเวอร์ เวอร์ชันเปียโน การรวมเพลย์ลิสต์เพลงดิสนีย์ เป็นต้น ซึ่งสื่อของผู้ผลิตหน้าใหม่ที่เติบโตมาจากการฟังเพลงของดิสนีย์ในยุคปัจจุบัน ก็พลิกบทบาทจากผู้รับสาส์นกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังผลิตซ้ำความสำเร็จในด้านบทเพลงของดิสนีย์ต่อไปไม่รู้จบ อีกทั้งยังมีเพลงไม่น้อยที่ได้รับเเรงบันดาลใจมากจากผลงานของค่ายแอนิเมชันแห่งนี้ เช่น เพลง Mad at disney ของศิลปิน salem ilese ที่เป็นบทเพลงอันเกิดมาจากการตีความผลงานของดิสนีย์ในมุมที่ต่างออกไป ซึ่งความจริงเเล้วเพลงเหล่านี้ล้วนเป็นผลผลิตของ soft power ที่ดิสนีย์ได้ฝากเอาไว้นั้นเอง
เราเชื่อว่าในอนาคตดิสนีย์จะยังคงมุ่งหน้าผลิตผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันของตนให้ผู้คนได้ติดตามชมกันอย่างเเน่นอน เเต่ปัจจุบันกระเเสการมองโลกของผู้เสพสื่อได้เปลี่ยนเเปลงไปจากสมัยก่อนมาก คำวิจารณ์ในหมู่ผู้ชมเองก็มีบทบาทสำคัญในส่งเสริมการสร้างผลงานใหม่ ๆ ของค่ายภาพยนตร์แอนิเมชันยักษ์ใหญ่ค่ายนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปเราจะเห็นว่ารอยเท้าที่ดิสนีย์เคยเดินจากมานั้นฝากรอยประทับอะไรไว้ในสังคมบ้าง เเละในอนาคต ทิศทางการผลิตสื่อของดิสนีย์จะเป็นยังไง เราคงต้องติดตามกันต่อไป
สุดท้ายเราหวังว่าบทความ disney song พร่องมันเนย จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เพื่อน ๆ เปิดมุมมองใหม่ ๆ ไปพร้อมกันกับเรา อีกทั้งยังหวังว่าทุกคนจะอิ่มใจเเละสนุกกับการฟังเพลงดิสนีย์มากยิ่งขึ้น ในบทความหน้าจะมีเรื่องพิเศษอะไรรออยู่ ต้องคอยติดตามนะคะ และแม้ว่าบทเพลงที่ผ่านมาของค่ายวอลต์ดิสนีย์จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ตกตะกอนนอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของใครหลาย ๆ คนแล้ว แต่ต้องมีสักครั้งที่ตะกอนเหล่านั้นจะกระพือขึ้นมาให้เพื่อน ๆ หวนคิดถึงช่วงเวลาวัยเด็กไม่ให้หล่นหายไปตามรายทางแห่งการเติบโต เมื่อเมโลดีในความทรงจำลอยเข้าสู่โสตประสาท ในตอนนั้นเราจะรู้ตัวว่า ตัวเองก็เคยเข้าไปโลดเเล่นอยู่ในปราสาทเเห่งความสุขชั่วนิรันดร์ของวอลต์ดิสนีย์สักครั้งเหมือนกัน
Comments